นาวิน โสภาภูมิ
บทความนี้เป็นการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายส่งเสริมการทำนาปรังของรัฐบาล โดยชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างการสนับสนุนให้ชาวนาปลูกข้าวนาปรังมากขึ้นกับการไม่มีมาตรการรองรับผลผลิตที่ล้นตลาด รัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ส่งเสริมให้ทำนาปรังเนื่องจากคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำในระบบชลประทานมีมากเพียงพอ แต่ในขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์กลับไม่มีแผนการจัดการผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสม ทำให้ราคาข้าวตกต่ำและชาวนาได้รับความเดือดร้อน นอกจากนี้ยังมีการเรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยรายละเอียดของราคาขายข้าว เพื่อให้ชาวนารับทราบถึงรายได้ที่แท้จริงที่พวกเขาจะได้รับ
ข้อมูลขัดแย้ง: ใครสนับสนุนนาปรัง?
ชนวนเหตุของประเด็นนี้ เริ่มต้นจากคำกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ที่ระบุว่าในอดีตไม่มีการสนับสนุนการทำนาปรัง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวถูกโต้แย้งโดยฝ่ายค้านที่ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันมีนโยบายส่งเสริมการทำนาปรังเพิ่มเติมในปีนี้อย่างชัดเจน
หลักฐานสำคัญที่ถูกนำมาอ้างอิง คือ การประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2567 ซึ่งมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เป็นประธาน พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้กรมชลประทานและกรมส่งเสริมการเกษตร ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรทราบถึงปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อการทำนาปรัง และมีการประกาศพื้นที่ทำนาปรังมากถึง 12 ล้านไร่ โดยในเว็บไซต์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พาดหัวไว้อย่างน่าสนใจในวันที่ 13 พฤศจิกายน ว่า
“รมว.นฤมล” นำ ก.เกษตรฯ แจ้งข่าวดีให้ชาวนาได้เฮ ! เผย มีปริมาณน้ำทำนาปรังทั่วประเทศ 10.02 ล้านไร่ เพิ่มจากปีที่แล้ว 1.2 ล้านไร่ ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร

ผลผลิตล้นตลาด: ใครรับผิดชอบ?
ปริมาณน้ำที่สูงกว่าปกติเป็นปัจจัยสำคัญที่รัฐบาลใช้ในการส่งเสริมให้ชาวนาทำนาปรังเพิ่มขึ้นรัฐบาลเห็นว่าปริมาณน้ำในปีนี้ 2567/68 สูงกว่าปกติ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายน้ำแห่งชาติ มีการมอบหมายให้กรมชลประทานและกรมส่งเสริมการเกษตรประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรทำนาปรังได้ การคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้มั่นใจได้ว่ามีน้ำเพียงพอสำหรับการทำนาปรัง การส่งเสริมให้ทำนาปรังส่งผลให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นจนล้นตลาด
สรุปคือ รัฐบาลคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำในระบบชลประทานจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีน้ำเพียงพอต่อการทำนาปรัง การคาดการณ์นี้เป็นปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลตัดสินใจส่งเสริมให้ชาวนาทำนาปรังเพิ่มขึ้น จนล้นตลาด
การส่งเสริมการทำนาปรังดังกล่าว ส่งผลให้การเพาะปลูกข้าวนาปรังจริง จากตัวเลขของกรมชลประทาน ในปี 2567/68 เท่ากับ 9.14 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2566/67 ที่มีจำนวน 8.47 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 675,000 ไร่ ซึ่งทำให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการประเมินว่าผลผลิตข้าวนาปรังเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 600,000 ตัน
ในขณะที่ ราคาข้าวในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ปี 2568 ก็ลดลง ทั้งๆที่ พื้นที่นาปรังที่เพิ่งเก็บเกี่ยวยังมีเพียง 450,000 ไร่ จาก 9 ล้านไร่ เพราะฉะนั้น หากมีผลผลิตออกมามากขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน 2568 จะทำให้ราคาข้าวยิ่งตกต่ำลงอีก

สถานการณ์ราคาข้าว: รู้แต่ยังไม่แก้ปัญหา
จริงๆ แล้ว ปัญหาราคาข้าวที่ลดลงไม่ใช่ไม่มีการเตือนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้จัดทำรายงานสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญและแนวโน้มปี 2568 โดยในด้านราคาข้าวได้มีการคาดการณ์ ไว้ว่า
“ราคาข้าวมีแนวโน้มลดลงจากปี 2567 เนื่องจากการที่อินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาว ที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งมีการกำหนดราคาส่งออกขั้นต่ำ ที่ 490 เหรียญสหรัฐต่อตัน มีความเป็นไปได้ ที่จะมีผลกระทบต่อราคาข้าวของไทย ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ การคาดการณ์ปริมาณผลผลิตข้าวในตลาดโลก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะเป็นแรงกดดันให้ไทยต้องมีการปรับเปลี่ยนราคาลงมาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน”
โดยรายงานฉบับนี้ เผยแพร่ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ผ่าน มา 2 เดือน แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กลับไม่มีการดำเนินการใด ในขณะที่ประเทศผู้ส่งออกและผู้นำเข้ารายสำคัญต่างมีมาตรการรับมือกับสถานการณ์ราคาข้าวทั้งสิ้น เช่น
- อินเดีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าว กำหนดราคาขั้นต่ำ ที่ต่ำกว่าราคาตลาดโลก
- เวียดนาม ให้ความสำคัญกับการเพิ่มคุณภาพข้าว มากกว่าการเพิ่มปริมาณ ผลผลิตข้าวในประเทศ และพยายามสร้างตลาดข้าวคาร์บอนต่ำ
- จีน มีการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาการเพาะปลูกข้าวมากขึ้น และส่งเสริมให้ คนบริโภคข้าวในประเทศแทนการ บริโภคข้าวนำเข้า
ในขณะที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ซึ่งมีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและมาตรการเกี่ยวกับข้าว และกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ประชุมครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 เพื่อยกเลิกโครงการปุ๋ยคนละครึ่งและทำโครงการไร่ละพัน แต่ไม่มีมาตรการที่เตรียมรับมือสำหรับผลผลิตข้าวนาปรังและหลังจากนั้น นบข. ก็ไม่ได้มีการประชุมอีกเลย
ชาวนาจึงเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันนโยบายส่งเสริมการทำนาปรัง โดยเสนอให้รัฐบาลเร่งหาตลาดเพื่อรองรับผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวออกสู่ตลาดมากที่สุด
การระบายข้าว: ไม่ทันการณ์ และไม่ชัดเจน
รัฐบาลควรช่วยเหลือชาวนาโดยการเตรียมมาตรการรองรับผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นจากการทำนาปรังที่รัฐบาลสนับสนุน เช่น การเร่งหาตลาดเพื่อรองรับข้าวทั้งหมดในฤดูการผลิตนี้ เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปรังที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 600,000 ตัน อาจทำให้เกิดปัญหาราคาข้าวตกต่ำได้
ถึงเเม้ว่าล่าสุดกระทรวงพาณิชย์จะพยายามกล่าวถึง การระบายข้าวและส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศแอฟริกาใต้และประเทศจีน โดยมีปริมาณเพียง 580,000 ตัน และยังไม่ทราบชัดเจนว่า ผู้ซื้อจะต้องการข้าวประเภทใด พันธุ์ใด และจะส่งมอบเมื่อไร ซึ่งเมื่อยังไม่ทราบทั้งประเภท ปริมาณ และช่วงเวลาที่แน่ชัด ทำให้รัฐบาลไม่สามารถชี้แจงให้ชาวนาได้ทราบว่า การระบายข้าวดังกล่าว จะช่วยยกระดับราคาข้าวเปลือกที่ชาวนาจะได้รับ ได้มากน้อยเพียงใด
สรุป
กรณีวิกฤตราคาข้าวนาปรังครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการดำเนินนโยบายภาครัฐที่ต้องมีความรอบคอบและคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน การส่งเสริมการผลิตโดยไม่มีมาตรการรองรับที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหาผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกษตรกรโดยตรง
รัฐบาลจึงควรทบทวนและปรับปรุงนโยบายให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์จริง เร่งหาตลาดรองรับผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้น และสร้างความโปร่งใสในเรื่องราคาข้าว เพื่อให้ชาวนาได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรม และสร้างความยั่งยืนให้กับภาคเกษตรกรรมไทย