นาวิน โสภาภูมิ
ปัญหาราคาข้าวตกต่ำเป็นปัญหาที่ชาวนาไทยเผชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาอย่างยาวนาน และในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 นี้ ที่เป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวนาปรังออกสู่ตลาด วิกฤตนี้ได้กลับมาเป็นประเด็นร้อนแรงอีกครั้ง แม้แต่ท่านนายกรัฐมนตรีแพรทองธาร ชินวัตร เองก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหานี้ โดยส่วนหนึ่งพุ่งเป้าไปที่ปัญหาคุณภาพพันธุ์ข้าวที่ชาวนาปลูก ทำให้เกิดคำถามว่า แท้จริงแล้ว ต้นตอของปัญหาราคาข้าวตกต่ำอยู่ที่ใด และมีแนวทางแก้ไขอย่างไรให้ยั่งยืน?
บทความนี้จะพาไปสำรวจปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นรากเหง้าสำคัญของวิกฤตราคาข้าวไทย โดยอาศัยข้อมูลจากการสัมภาษณ์ สส.ณรงเดช อุฬารกุล พรรคประชาชน คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ของสภาผู้แทนราษฎร และข้อมูลทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริง และแนวทางการแก้ไขอย่างเป็นระบบครบวงจร

ที่มา เพจ Ing Shinawatra
ปัญหาเชิงโครงสร้าง: รากเหง้าวิกฤตราคาข้าว
ปัญหาราคาข้าวตกต่ำไม่ได้มีสาเหตุจากการที่ชาวนาปลูกข้าวพันธุ์ด้อยคุณภาพเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลลัพธ์จากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในอุตสาหกรรมข้าวไทย ซึ่งสามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้:
- พันธุ์ข้าวที่ไม่ตอบโจทย์: ประเทศไทยยังขาดแคลนพันธุ์ข้าวคุณภาพที่ตรงกับความต้องการของตลาดโลก โดยเฉพาะข้าวพื้นนุ่มที่เป็นที่นิยมและให้ผลผลิตสูง ทำให้ชาวนาไทยเสียเปรียบในการแข่งขัน และบางส่วนต้องหันไปนำเข้าพันธุ์ข้าวจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะแสดงถึงความไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ในด้านพันธุ์ข้าว
- เมล็ดพันธุ์ที่ผลิตไม่เพียงพอ: แม้ว่ากรมการข้าวจะมีงบประมาณสนับสนุนการผลิตเมล็ดพันธุ์จำนวนมาก แต่ปริมาณเมล็ดพันธุ์คุณภาพที่ผลิตได้จริงกลับยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร ซ้ำร้าย การดำเนินงานของภาครัฐในส่วนนี้ยังขาดความโปร่งใสและแผนงานที่ชัดเจน ทำให้เกิดข้อสงสัยถึงประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล ในปี 2567 ประเทศไทยต้องการเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ในการเพาะปลูก จำนวนทั้งสิ้น 1,411,000 ตัน โดยมาจาก 4 แหล่งคือ (1) กรมการข้าว จำนวน 95,000 ตัน (2) ศูนย์ข้าวชุมชน 197,800 ตัน (3) สหกรณ์การเกษตร 28,860 ตัน (4) สมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ข้าวไทย 400,000 ตัน และ (5) ชาวนาเก็บไว้ใช้เองรวมถึงซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเองอีกประมาณ 689,340 ตัน เมล็ดพันธุ์จากแหล่งของกรมการข้าวเพียง 6.73 % เท่านั้น
- ขาดการวิจัยและพัฒนา: การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวในประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ทำให้เราขาดแคลนองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
- การจัดการที่ไม่เป็นระบบ: การแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำยังขาดการบูรณาการและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้การดำเนินงานกระจัดกระจาย ขาดทิศทางที่ชัดเจน และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและยั่งยืน ขาด “เจ้าภาพ” ที่ชัดเจนในการดูแลและขับเคลื่อนนโยบาย
- ขาดการส่งเสริมการปลูกและการตลาด: ภาครัฐยังขาดการส่งเสริมการปลูกข้าวที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ขาดการให้ความรู้แก่เกษตรกรในการดูแลรักษาพันธุ์ข้าวอย่างถูกต้อง และยังไม่มีกลไกความร่วมมือกับโรงสีในการรับซื้อข้าวในราคาที่เป็นธรรมอย่างเป็นระบบ

ทางออก: แก้ไขเชิงระบบ เพื่อความยั่งยืน
การแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมองภาพใหญ่และแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยมีข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขที่เป็นรูปธรรม ดังนี้:
- ทุ่มงบประมาณเพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าว: เพิ่มการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเน้นการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ตรงกับความต้องการของตลาด ทั้งข้าวพื้นนุ่มและข้าวชนิดอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการแข่งขัน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และศูนย์วิจัยต่างๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้อย่างกว้างขวาง
- ปฏิรูปการผลิตเมล็ดพันธุ์: ปรับปรุงแผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ของกรมการข้าวให้มีความชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของศูนย์ข้าวชุมชนให้สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร และกระจายเมล็ดพันธุ์ให้ทั่วถึง
- ส่งเสริมการปลูกและการตลาดครบวงจร: ภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมการปลูกข้าวที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ โดยคำนึงถึงสภาพดิน น้ำ ภูมิอากาศ และความต้องการของตลาด ให้ความรู้และเทคโนโลยีแก่เกษตรกรในการดูแลรักษาพันธุ์ข้าวอย่างถูกต้อง ตั้งแต่การเลือกพันธุ์ การปลูก การดูแล ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว และสร้างกลไกความร่วมมือกับโรงสี สหกรณ์ และผู้ส่งออก ในการรับซื้อข้าวในราคาที่เป็นธรรม และส่งเสริมการสร้างตลาดข้าวเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) สำหรับข้าวพันธุ์พื้นเมือง หรือข้าวที่มีคุณสมบัติพิเศษ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวไทย
- การประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน: จัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน กลุ่มเกษตรกร และนักวิชาการ เพื่อร่วมกันวางแผน กำหนดนโยบาย และแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำอย่างบูรณาการ และสร้างระบบฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้สามารถติดตาม ประเมินผล และปรับปรุงการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

บทสรุป: ก้าวต่อไปเพื่อข้าวไทยที่ยั่งยืน
ปัญหาราคาข้าวตกต่ำเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและท้าทาย ภาคการเกษตรของประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้เกินความสามารถในการแก้ไข หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจังและเป็นระบบ โดยรัฐบาลเป็นเจ้าภาพหลักและผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาพันธุ์ข้าว การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเมล็ดพันธุ์ การส่งเสริมการปลูกและการตลาดอย่างครบวงจร และการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน เราก็จะสามารถยกระดับอุตสาหกรรมข้าวไทยให้มีความเข้มแข็ง สร้างความมั่นคงทางรายได้ให้กับชาวนา และนำพาข้าวไทยให้มีที่ยืนที่มั่นคงในตลาดโลกได้อย่างมีศักดิ์ศรี
เอกสารอ้างอิง
นางสาวกุลศิริ กลั่นนุรักษ์.2567.การยกระดับการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของศูนย์ข้าวชุมชน
ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบ BCG.หลักสูตรนักบริหารระดับสูง : ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และคุณธรรม รุ่นที่ 99
วิทยาลัยนักบริหาร สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ.