
เดชรัต สุขกำเนิด
ปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตรนับเป็นสาเหตุหนึ่งการเกิดฝุ่นพิษ PM2.5 การลดการเผาในพื้นที่การเกษตรจึงเป็นแนวทางที่สำคัญมากในการแก้ไขดังกล่าว แต่การลดการเผาในพื้นที่เกษตรก็มีข้อจำกัดที่สำคัญคือ การขาดแคลนแรงงาน และการเพิ่มภาระต้นทุนการผลิตของเกษตรกร เพราะฉะนั้น การหาแนวทางในการลดการเผาในพื้นที่การเกษตร ที่มีความเหมาะสมในทางปฏิบัติ และมีความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ทั้งสำหรับพี่น้องเกษตรกร และการลดปัญหา PM2.5
เครื่องจักรกลการเกษตรถือเป็นแนวทางหนึ่งที่สำคัญมาก ในการลดการเผาทางการเกษตร โดยเฉพาะในการทำไร่อ้อย เพราะการเผาในไร่อ้อยมักจะเกิดขึ้นเนื่องจากการขาดแคลนแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานในขั้นตอนก่อนการเก็บเกี่ยว หรือขั้นตอนหลังการเก็บเกี่ยว (หรือในการไถพรวนยกร่อง) เพราะฉะนั้น การจัดหา และ/หรือสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตรสำหรับไร่อ้อย จึงสำคัญมาก

บทความนี้จึงขอนำเสนอแนวทางในการสนับสนุนเครื่องจักรการเกษตรสำหรับการทำไร่อ้อย โดยมุ่งเน้นที่จะลดต้นทุนการผลิตของพี่น้องเกษตรกรลง พร้อมๆ กับการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และการลดการเผาในพื้นที่การเกษตร และเพื่อให้การนำเสนอแนวทางนี้มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น บทความนี้จึงจำลองสถานการณ์ว่า หากให้ อบจ. เป็นเจ้าภาพในการสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตร สำหรับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ปลูกอ้อย 10,000 ไร่ ต่อปี โดยการสนับสนุนเครื่องจักรกลเกษตร 5 ประเภท ตั้งแต่การเก็บเกี่ยว (ซึ่งเกี่ยวพันกับการเผามากที่สุด) การไถพรวนหลังการเก็บเกี่ยว การปลูกอ้อย การให้น้ำ เครื่องพ่นปุ๋ยและเครื่องกำจัดวัชพืช ดังนี้
1. รถตัดอ้อย (Sugarcane Harvester)
รถตัดอ้อยหรือรถเก็บเกี่ยวอ้อยมีความสำคัญมากในการเก็บเกี่ยวอ้อยโดยปราศจากการเผา เพราะการขาดแคลนแรงงานตัดอ้อย และการขาดแคลนรถตัดอ้อยในบางพื้นที่ มักจะเป็นปัจจัยผลักดันสำคัญให้มีการเผาก่อนการเก็บเกี่ยวอ้อย เพราะฉะนั้น การสนับสนุนให้มีรถตัดอ้อยในปริมาณที่พอเพียง จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ทางเลือกในการจัดหา/สนับสนุนรถตัดอ้อยมีได้ 2 ทางหลัก (ภาพที่ 1) คือ
- รถตัดอ้อยใหม่ ที่นำเข้าโดยตรงมาจากต่างประเทศ ราคาประมาณ 13.3 ล้านบาท
- รถตัดอ้อยมือสอง ที่นำเข้ามายกเครื่องใหม่จนพร้อมใช้งาน ราคาประมาณ 4.5-8 ล้านบาท
ทั้งนี้ ความแตกต่างระหว่าง 2 ทางเลือกมีทั้งในเรื่อง ราคาและประสิทธิภาพการใช้งาน รวมถึงต้นทุนและปัจจัยอื่นๆ ที่เกียวข้อง ดังแสดงในตารางที่ 1

ตารางที่ 1 ความแตกต่างระหว่างสองทางเลือก (ก) รถตัดอ้อยใหม่ และ (ข) รถมือสองบิ้วพร้อมใช้

รูปแบบเครื่องจักรสำหรับพื้นที่ 10,000 ไร่
จากข้อมูลดังกล่าว ในแบบจำลองนี้จึงพิจารณารถมือสองยกเครื่องพร้อมใช้
- ความสามารถ: 1 คันรองรับพื้นที่ 2,000 ไร่/ปี (ตามสภาพปฏิบัติงานจริง)
- จำนวนที่ต้องการ: 5 คัน
- ราคาต่อคัน: 6 ล้านบาท
- ต้นทุนรวม: 5 คัน x 6 ล้านบาท = 30 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากการลงทุนแล้ว ประเด็นเรื่อง รถตัดอ้อยที่จะต้องมีเพิ่มเติม ยังควรพิจารณาในเรื่อง สนับสนุนด้านบุคลากร ร่วมกับสถานศึกษา เพื่อสร้างช่างซ่อมบำรุงและประกอบเครื่องจักร และการออกใบอนุญาต และโรงเรียนสอนขับรถตัดอ้อย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังอาจมีสนับสนุนด้านราคารถ สนับสนุนภาษีนำเข้าทั้งรถใหม่และมือสอง และสนับสนุนภาษีกิจการประกอบและนำเข้ารถตัดอ้อย
2. รถไถปรับดินและผานยกร่อง (Tractor with Implements)
สำหรับการไถปรับดินและผานยกร่อง ประกอบด้วย 2 อุปกรณ์ที่สำคัญคือ (1) รถแทรกเตอร์ที่ทำงานในไร่อ้อย ซึ่งสามารถใช้งานในขั้นตอนอื่นๆ (เช่น การปลูก การใส่ปุ๋ย และกำจัดวัชพืช) ซึ่งยังมี 2 ทางเลือกคือ (ก) รถแทรกเตอร์ใหม่ราคา 900,000-1,800,000 ล้านบาท และ (ข) รถแทรกเตอร์มือสองราคา 700,000-1,000,000 ล้านบาท และ (2) เครื่องจักรในการเตรียมดิน ไถบุกเบิกและไถละเอียด 1 ชุด ราคาอยู่ในช่วง 250,000-300,000 บาท ซึ่งทั้งสองอุปกรณ์นี้จะช่วยในการเตรียมดิน และการเผาเศษใบอ้อย ยอดอ้อย และอื่นๆ ที่เหลืออยู่


รูปแบบเครื่องจักรสำหรับพื้นที่ 10,000 ไร่
- ความสามารถ: รถแทรกเตอร์มือสอง 1 คันรองรับพื้นที่ 800 – 1,000 ไร่/ปี (ตามสภาพปฏิบัติงานจริง) รวมถึงอุปกรณ์ในการเตรียมดิน
- จำนวนที่ต้องการ: 12 คัน
- ราคาต่อคัน: 1 ล้านบาท
- ต้นทุนรวม: 12 คัน x 1 ล้านบาท = 12 ล้านบาท
3. เครื่องปลูกอ้อย (Sugarcane Planter)
เครื่องปลูกอ้อย (Sugarcane Planter) เป็นอีกหนึ่งเครื่องจักรที่สามารถช่วยลดแรงงานในการปลูกลงได้ ทั้งนี้ เครื่องปลูกอ้อย มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ (ก) เครื่องปลูกระบบใช้คนเสียบ ราคา 130,000 บาท และ (ข) เครื่องปลูกระบบอ้อยท่อน Billet Planter ราคา 300,000 – 750,000 บาท (ตามภาพที่ 4) และประสิทธิภาพการทำงานและราคาที่แตกต่างกัน โดยเครื่องปลูกระบบอ้อยท่อน Billet Planter จะมีราคาแพงกว่า แต่มีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีกว่า และใช้แรงงานคนน้อยกว่า (ตารางที่ 2)

ตารางที่ 2 การเปรียบเทียบเครื่องจักรในการปลูกอ้อยแบบคนเสียบและแบบอ้อยท่อน

รูปแบบเครื่องจักรสำหรับพื้นที่ 10,000 ไร่
- ความสามารถ: 1 เครื่องรองรับการปลูก 30 – 50 ไร่/วัน
- จำนวนที่ต้องการ: 3 เครื่อง
- ราคาต่อเครื่อง: 8 แสนบาท
- ต้นทุนรวม: 3 เครื่อง x 3 แสนบาท = 0.9 ล้านบาท
4. ระบบการให้น้ำในไร่อ้อย
ระบบการให้น้ำในไร่อ้อย ที่เราพิจารณา มี 2 ทางเลือก (ภาพที่ 5) คือ ระบบน้ำหยด (Drip Irrigation) และการให้น้ำไร่อ้อยแบบฟลัดพลูม (Flood-Ploom Irrigation)
- ระบบน้ำหยดในไร่อ้อย เป็นวิธีการให้น้ำที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้อุปกรณ์หยดน้ำส่งน้ำโดยตรงไปยังโคนต้นอ้อยในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยลดการสูญเสียน้ำจากการระเหยและการไหลบ่าหนี ทำให้ต้นอ้อยได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ ส่งผลให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และลดต้นทุนด้านแรงงานและปริมาณน้ำที่ใช้เมื่อเทียบกับระบบรดน้ำแบบเดิม เช่น การปล่อยน้ำท่วมร่อง
- การให้น้ำแบบฟลัดพลูม เป็นหนึ่งในวิธีชลประทานที่ใช้น้ำไหลผ่านร่องระหว่างแถวอ้อย โดยอาศัยระดับความลาดเอียงของพื้นที่เพื่อให้น้ำกระจายไปทั่วพื้นที่เพาะปลูก วิธีนี้ใช้กันมากในไร่อ้อยที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มหรือดินเหนียวที่อุ้มน้ำได้ดี

ทั้งนี้ ความแตกต่างของระบบการให้น้ำทั้ง 2 แบบ อยู่ที่เงินลงทุนต่อไร่ และประสิทธิภาพในการให้น้ำ โดยระบบการให้น้ำแบบน้ำหยดจะลงทุนต่อไร่มากกว่า แต่มีประสิทธิภาพการให้น้ำที่ดีกว่า ส่วนการลงทุนในระบบให้น้ำแบบฟลัดพลูมจะประหยัดการลงทุนมากกว่า แต่จำเป็นต้องมีแหล่งน้ำที่เพียงพอสำหรับการให้น้ำ (ตารางที่ 4)
ตารางที่ 3 การเปรียบเทียบระหว่างการให้น้ำแบบฟลัดฟลูม และระบบการให้น้ำแบบน้ำหยด

รูปแบบเครื่องจักรสำหรับพื้นที่ 10,000 ไร่
เพื่อเพิ่มผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ของอ้อยในพื้นที่นอกเขตชลประทาน โดยประหยัดงบประมาณในการลงทุน บทความนี้จึงพิจารณาเลือกแนวทางการให้น้ำแบบฟลัดฟลูม มาใช้สำหรับพื้นที่ 10,000 ไร่ โดยมีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
- เงินลงทุนเฉลี่ย 4,000 บาท/ไร่ รวมถึงเงินลงทุนในการจัดหาแหล่งน้ำที่เหมาะสมในพื้นที่ด้วย
- เงินลงทุนทั้งหมดในพื้นที่ 10,000 ไร่ เท่ากับ 40 ล้านบาท
ทั้งนี้ รูปแบบในการจัดหาแหล่งน้ำเพื่อไร่อ้อยจำเป็นต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับภูมิประเทศ และเงื่อนไขในการรวมกลุ่มของเกษตรกรในพื้นที่
- เกษตรกรแต่ละรายเป็นเจ้าของเอง โดยควรสนับสนุนแหล่งเงินทุนเพื่อเข้าถึงน้ำ เช่น การขุดสระน้ำ การเจาะบาดาล หรือระบบสูบน้ำและกระจายน้ำพลังงานแสงอาทิตย์
- แหล่งน้ำเพื่อการเกษตรแบบรวมกลุ่ม เช่น สระน้ำชุมชน / ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับเกษตรกรแปลงใหญ่ หรือระบบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร
- ระบบการจัดการน้ำในภาพรวม การลงทุนในระบบคลองชลประทานเส้นเลือดฝอย หรือฝายกั้นน้ำในชุมชนในพื้นที่ที่เหมาะสม หน่วยงานควรช่วยเกษตรกรในการวิเคราะห์ระบบน้ำในชุมชนและไร่นาของเกษตรกร และการขอใบอนุญาตหรือการร่วมลงทุนในการเจาะ/ใช้น้ำบาดาลในพื้นที่ที่เหมาะสม
5. เครื่องพ่นปุ๋ยหรือสารเคมี (Fertilizer/Weed Sprayer)
นอกเหนือจากการปลูกและการเก็บเกี่ยว การพ่นปุ๋ยและการกำจัดวัชพืชก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ใช้แรงงานมาก และปัจจุบันนี้สามารถมีอุปกรณ์พ่วงท้ายรถแทรกเตอร์ในการทำหน้าที่ดังกล่าว เพื่อลดการใช้แรงงาน และสารเคมีกำจัดวัชพืชลง ดังนั้น ในแบบจำลองนี้จึงนำเอาเครื่องพ่นปุ๋ยและสารเคมี และเครื่องกำจัดวัชพืช (ภาพที่ 6) มาเป็นส่วนหนึ่งของแบบจำลองนี้ด้วย

ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบระหว่างการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชแล้ว การใช้เครื่องจักรจัดการวัชพืชจะมีข้อดีตรงที่ประหยัดแรงงาน และประหยัดต้นทุนหมุนเวียนลง 1,500 – 1,800 บาท/ไร่/ฤดูกาล และยังเป็นผลดีต่อการเติบโตของต้นอ้อย และการลดผลกระทบทางสุขภาพของเกษตรกรด้วย (ตารางที่ 4)
ตารางที่ 4 การเปรียบเทียบระหว่างการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและการใช้เครื่องจักรจัดการวัชพืช

รูปแบบเครื่องจักรสำหรับพื้นที่ 10,000 ไร่
ในบทความนี้ จะใช้เครื่องฝังปุ๋ยและกำจัดวัชพืชแทนการใช้แรงงานคนและสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ดังนี้
- ความสามารถ: 1 ชุด (เครื่องฝังปุ๋ยและกำจัดวัชพืช) รองรับ 1,000 ไร่/ฤดูกาล
- จำนวนที่ต้องการ: 10 ชุด
- ราคาต่อชุด: 6 แสนบาท
- ต้นทุนรวม: 10 เครื่อง x 6 แสนบาท = 6 ล้านบาท
6. สรุปภาพรวมการลงทุน
ในแบบจำลองนี้ จะมีการลงทุนในเครื่องจักร 5 ชนิด ได้แก่
- รถตัดอ้อย (รถมือสองปรับปรุงใหม่) 5 คัน รวม 30 ล้านบาท
- รถไถปรับดิน 12 ล้านบาท
- เครื่องปลูกอ้อย 1 ล้านบาท
- ระบบการให้นำแบบฟลัดพลูม 40 ล้านบาท
- เครื่องพ่นปุ๋ยและกำจัดวัชพืช 6 ล้านบาท
รวมเงินลงทุนเบื้องต้น 89 ล้านบาท หรือประมาณ 8,900 บาท/ไร่ ทั้งนี้ เกือบครึ่งหนึ่งเป็นงบประมาณในการจัดหาน้ำสำหรับไร่อ้อยนอกพื้นที่ชลประทาน
รูปแบบการลงทุน
แนวทางการลงทุนนี้ จะแบ่งเป็น
- อบจ. (หรือรัฐบาล) ลงทุนครั้งแรก: จัดหาเครื่องจักรทั้งหมด (ยกเวันระบบให้น้ำ) จำนวน 49 ล้านบาท
- เกษตรกรเช่าหรือใช้บริการเครื่องจักรเหล่านี้ เช่น
- รถตัดอ้อย: 400 บาท/ไร่
- รถไถและเครื่องปลูก: 200 บาท/ไร่
- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดสินเชื่อปลอดดอกเบี้ย 4,000 บาท/ไร่ สำหรับการทำแหล่งน้ำและติดตั้งระบบน้ำแบบฟลัดพลูม และชำระคืนภายใน 4 ปี
เป้าหมายในการดำเนินงาน
การลงทุนดังกล่าว มีเป้าหมายในการดำเนินการใน 5 ประเด็นได้แก่
- ยกเลิกการเผาในพื้นที่การเกษตร 10,000 ไร่ ทั้งหมด
- ลดต้นทุนค่าแรงงานของเกษตรกรลง
- ลดการใช้สารเคมีการเกษตรของเกษตรกรลงร้อยละ 20
- เพิ่มผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สำหรับไร่อ้อยนอกพื้นที่ชลประมาณ ให้อยู่ในระดับ 12-15 ตัน/ไร่ เป็นอย่างน้อย
- เพิ่มรายได้สุทธิเกษตรกรอย่างน้อยละร้อยละ 20
สรุป
การลงทุนสำหรับเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อการจัดการไร่อ้อยให้ปลอดการเผาจำนวน 89 ล้านบาท สำหรับพื้นที่ 10,000 ไร่ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว เพราะไม่เพียงช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร แต่ยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหา PM2.5 และสร้างระบบการเกษตรที่ยั่งยืนในพื้นที่ โดย อบจ. สามารถเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม บทความนี้ เป็นการนำเสนอ (ร่าง) นโยบายสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตรสำหรับไร่อ้อยในเบื้องต้นเท่านั้น การนำไปปฏิบัติจริงจำเป็นต้องมีการศึกษาในรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะด้านการบริหารจัดการเครื่องจักร ความยั่งยืนทางการเงิน การจัดหาแหล่งน้ำ การสร้างบุคลากร และการสร้างการยอมรับจากเกษตรกร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้และสร้างความยั่งยืนในระยะยาวได้จริง