นาวิน โสภาภูมิ
เนื่องในวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ 5 มิถุนายน 2568 เป็นโอกาสอันดีที่ Think Forward Center จะทบทวนสถานการณ์ปัญหาและความท้าทายที่พี่น้องชาวนาไทยกำลังเผชิญ รวมถึงพิจารณาแนวทางการแก้ไขด้วยมาตรการเชิงนโยบายที่ครอบคลุมปัญหาชาวนาไทย จากเสียงสะท้อนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน ในการอภิปราย ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี 2569 ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นสถานการณ์ปัญหาของชาวนาที่ซับซ้อนและต้องการมาตรการเชิงนโยบายเพื่อการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ชาวนาไทย ซึ่งเป็น “กระดูกสันหลังของชาติ” สามารถยืนหยัดได้อย่างมีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

1. สถานการณ์ปัญหาและความท้าทายของชาวนาไทย
ชาวนาไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อรายได้และความเป็นอยู่โดยตรง โดยเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐ
- ราคาผลผลิตตกต่ำและการแข่งขันที่รุนแรง
สส.ณรงเดช อุฬารกุล ชี้ว่าปีนี้ควรเป็น “ปีทองของพี่น้องเกษตรกร” เพราะผลผลิตข้าวนาปรังเพิ่ม แต่กลับกลายเป็นปีที่รายได้ลดลงจาก “การบริหารจัดการที่ย่ำแย่ของรัฐบาล” ไม่มีการบริหารจัดการตลาดเพื่อรองรับผลผลิตข้าวนาปรังที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ สส.กรุณพล เทียนสุวรรณ สะท้อนว่าตลาดข้าวไทย “ถูกทุบจนเสียทรง” โดยเฉพาะจากคู่แข่งสำคัญในตลาดโลก คือ เวียดนามและอินเดีย เนื่องจากพันธุ์ข้าวไทยมีผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่ามาก (ข้าวหอมมะลิ 500-600 กก./ไร่ เทียบกับข้าวหอม ST25 ของเวียดนาม 1.4 ตัน/ไร่) ทำให้ “เวียดนามสามารถขายข้าวได้ในราคาถูกกว่าเรา แล้วก็ยังได้กำไรเหลืออีกด้วย”
ด้าน สส.วีรวุธ รักเที่ยง เสริมว่าราคาข้าวเปลือกเจ้า 15% ในไตรมาสแรกปี 2568 ต่ำกว่าปีก่อนถึง 27% จน “ข้าว 1 ตัน ราคา 6,000 บาท หรือกิโลละ 6 บาท ซึ่งไม่แม้พอกระทั่งที่จะซื้อมาม่าซองเดียว”
- วิกฤตเมล็ดพันธุ์ข้าว ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ
ปัญหาหลักของข้าวไทยคือการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี สส.วีรวุธ ระบุว่าไทย “ขาดแคลนพันธุ์ข้าวคุณภาพที่ตรงต่อความต้องการของตลาดโลก” โดยเฉพาะข้าวพื้นนุ่ม และการลงทุนวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวต่ำมาก เพียงปีละ 130 ล้านบาท เพื่อได้พันธุ์ข้าวปีละ 1 สายพันธุ์ เทียบกับเวียดนามที่ลงทุนปีละ 3,000 ล้านบาท ที่สำคัญคือเมล็ดพันธุ์คุณภาพที่ผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการเกือบ 700,000 ตันต่อปี ทำให้ชาวนาเกือบครึ่งหนึ่งต้องเก็บเมล็ดพันธุ์เอาไว้ใช้เอง หรือซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเอง” ซึ่งเสี่ยงต่อการรักษาเมล็ดพันธุ์ข้าวให้มีคุณภาพดีและสมบูรณ์ สส.วีรวุธ เรียกว่า “หลุมพรางขนาดใหญ่ที่ทำให้ชาวนาต้องใช้เมล็ดพันธุ์ที่ไม่ได้รับการรับรอง” สอดคล้องกับที่ สส.กรุณพล ชี้ว่า “เกษตรกรกว่า 90% ของประเทศนี้ครับ…จะไม่ได้รับพันธุ์ข้าวชั้นดีเลย”
- ความล้มเหลวในการบริหารจัดการและโครงการภาครัฐ
สส.ณรงค์เดช วิพากษ์ว่ารัฐบาล “ไม่มีแผนรับมือปัญหาล่วงหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ” และมีแต่ “โครงการซ้ำซาก ใช้ตัวชี้วัดเดิมที่ไม่เคยบรรลุเป้าหมาย” โดยเฉพาะโครงการของกรมการข้าว เช่น โครงการแก้ปัญหาเมล็ดพันธุ์ข้าว ที่ใช้งบประมาณมหาศาลแต่ผลผลิตต่ำกว่าเป้า และ “ไม่มีโครงการใดเลยที่มีตัวชี้วัดเพิ่มผลผลิตต่อไร่” นั่นทำให้การพัฒนาด้านผลิตภาพของข้าวไทยย่ำอยู่กับที่
สส.กรุณพล เสริมว่ากรมการข้าว “ล้มเหลวในภารกิจหลักและเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับชาวนาไทยอย่างแท้จริงครับ” ผ่านโครงการที่ไม่มีประสิทธิภาพและส่อเอื้อประโยชน์ เช่น โครงการแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ที่อาจเป็นการ “ใช้ทรัพยากรของรัฐในการซื้อเสียงล่วงหน้าทางอ้อม” โดยการที่พรรคการเมืองและสส. บางคนทำตัวเป็นคนกลางนำพันธุ์ข้าวไปแจกจ่ายแก่เกษตรกร ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่

2. งบประมาณพัฒนาข้าวและชาวนา: เมื่อ “ยา” ไม่ตรง “โรค” และ “แผล” ไม่ได้รับการรักษา
การจัดสรรและการใช้งบประมาณเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ซ้ำเติมปัญหาของชาวนา เนื่องจากงบประมาณถูกจัดสรรและดำเนินการผ่านหน่วยงานรัฐตามภารกิจและเป้าหมายของหน่วยงาน ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับปัญหาและความต้องการของชาวนาในแต่ละพื้นที่
- งบประมาณไม่สอดคล้อง ไม่เพียงพอ และขาดประสิทธิภาพ
- สส.วีรวุธ ชี้ว่า “การตั้งงบประมาณแบบไม่สนปัญหาและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของพี่น้องชาวนา นี่แหละครับคือเรื่องใหญ่” โดยงบผลิตเมล็ดพันธุ์ของกรมการข้าวปี 2569 กลับลดลง 50,000 ตัน สวนทางกับคำประกาศของนายกรัฐมนตรีที่จะเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าว อีกทั้งตัวชี้วัดของกรมการข้าวที่ตั้งเป้าผลผลิตเพิ่ม 15% และลดต้นทุน 5% นั้น “ไม่เคยเป็นจริง” เมื่อเทียบกับข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สส.ณรงค์เดช ก็ย้ำว่ามีการใช้งบประมาณใน “โครงการซ้ำซาก” และ “เมื่อเกิดปัญหา ก็ต้องขอใช้งบกลาง หรือกู้จาก ธ.ก.ส. เพิ่มหนี้ซ้ำเข้าไปอีก” จนหนี้ที่รัฐบาลมีต่อ ธ.ก.ส. สูงถึง 742,000 ล้านบาท
- การใช้งบประมาณที่ส่อทุจริตและไม่โปร่งใส
- สส.กรุณพล ได้เปิดโปงโครงการที่น่ากังวลหลายโครงการ เช่น โครงการ “1 อำเภอ 1 แปลงเกษตรอัจฉริยะ” ที่ใช้งบ 205 ล้านบาท ซึ่งกลายเป็น “โชว์รูมอัจฉริยะที่มีไว้เผางบประมาณและหาเงินทอน” และโครงการซื้อปัจจัยการผลิตสำหรับผู้ประสบอุทกภัย วงเงิน 1,571 ล้านบาท ที่มีการสืบราคาจากบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และมีการกำหนดคุณสมบัติผู้เข้าร่วมประมูลที่ “ส่อล็อคสเปค” เอื้อประโยชน์ให้บริษัทเดียว รวมถึงข้อกล่าวหาเรื่องการ “ทอนเงินกลับมา” ในกรมการข้าว

3. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและมาตรการในการแก้ไขปัญหาข้าวและชาวนาไทย
จากปัญหาที่สะท้อนออกมา ของ สส. พรรคประชาชนทั้ง 3 สามารถประมวลข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาชาวนาอย่างยั่งยืน ดังนี้
- พลิกโฉมการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวอย่างจริงจัง: จัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพื่อการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ที่ให้ผลผลิตสูง ทนทานต่อโรคและสภาพแวดล้อม และตรงตามความต้องการของตลาดโลก
- ผ่าตัดระบบการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว: เพิ่มกำลังการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีให้เพียงพอต่อความต้องการของชาวนาทั่วประเทศและมีตลาดรองรับ สร้างระบบการกระจายที่โปร่งใส เป็นธรรม และเข้าถึงง่ายสำหรับเกษตรกรทุกกลุ่ม ลดการพึ่งพาเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ได้การรับรอง ดังที่ สส.วีรวุธ เรียกร้องว่า “เราอยากเห็นกรอบการลงทุนที่ให้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ชาวนาต้องใช้ปีละ 1,400,000 ตัน เป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดี มีคุณภาพ ไม่ใช่ทำปีละ 200,000 ตันไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว“
- การจัดสรรและบริหารงบประมาณภาคเกษตรให้มีประสิทธิภาพให้เข้าถึงชาวนาอย่างแท้จริง : สส.ณรงค์เดช เสนอให้ “ต้องหยุดโครงการที่ไม่มีเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต” และ “ทบทวนโครงการต่างๆ ที่ทำมาระยะหนึ่งแล้วไม่ประสบความสำเร็จ” โดยงบประมาณต้องมุ่งเน้นโครงการที่เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และสามารถวัดผลได้อย่างชัดเจน รวมถึงการตรวจสอบการใช้งบประมาณอย่างเข้มข้นเพื่อป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน
- สร้างกลไกการบริหารจัดการความเสี่ยงและแก้ปัญหาระยะยาว: สส.ณรงค์เดช เสนอให้ “ต้องสร้างกลไกในการรองรับความเสี่ยง ทั้งที่มีอยู่แล้ว และเพิ่มเติม เช่น กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร…โครงการประกันภัยพืชผล” เพื่อลดการพึ่งพาเงินเยียวยาเฉพาะหน้า และ “หยุดวงจรการแก้ไขปัญหาภาคการเกษตรด้วยการพยุงราคา หรือโยนปัญหาไปในอนาคตด้วยการจ่ายเงินเยียวยาไปเรื่อย ๆ”
วันข้าวและชาวนาแห่งชาติปีนี้ ควรเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาข้าวและชาวนาไทยอย่างแท้จริง ให้ชาวนาไทยหลายล้านครัวเรือนสามารถลืมตาอ้าปากได้ เสียงจากตัวแทนประชาชนและชาวนาในสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ ต้องการสะท้อนไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง เช่น กรมการข้าวทให้รับฟังข้อเสนอแนะเหล่านี้และนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ชาวนาไทยหลุดพ้นจากวงจรปัญหาการขาดทุน ความยากจน และสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคง สมดังที่เป็น “กระดูกสันหลังของชาติ” อย่างแท้จริง