
เดชรัต สุขกำเนิด
นาวิน โสภาภูมิ
ในปี 2568 ประเทศไทยคาดว่าจะเผชิญกับภาวะอุปทานมังคุดส่วนเกิน (Oversupply) อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีผลผลิตรวมสูงถึง 410,000 ตัน ซึ่งมากกว่าปีปกติถึง 35% สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ราคามังคุดในเดือนมิถุนายน 2568 ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วกว่า 50% ภายใน 2 สัปดาห์ สะท้อนถึงภาวะ “ล้นตลาด” ที่รุนแรง บทวิเคราะห์นี้ Think Forward center จะประเมินสถานการณ์ด้านอุปทาน-อุปสงค์ คาดการณ์ผลกระทบ และนำเสนอแนวทางการแทรกแซงตลาดระยะสั้นแก้ปัญหา ราคามังคุดตกต่ำ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและรายได้ของเกษตรกร
1. การวิเคราะห์สถานการณ์อุปทานและอุปสงค์
1.1 ด้านอุปทาน (Supply)
- ปริมาณผลผลิตรวม: คาดการณ์ผลผลิตมังคุดทั้งปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 410,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีปกติถึง 130,000 ตัน (+35%)
- การกระจุกตัวของผลผลิต: ผลผลิตจะออกสู่ตลาดพร้อมกันจำนวนมากในช่วงฤดูกาลหลัก (Peak Season) เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ประมาณ 185,000 ตัน หรือคิดเป็น 45% ของผลผลิตทั้งปี
1.2 ด้านอุปสงค์ (Demand)
- การส่งออก: แม้ว่าช่วงครึ่งปีแรกจะส่งออกไปแล้วเกือบ 150,000 ตัน (ส่วนใหญ่จากภาคตะวันออก) แต่คาดว่าช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม จะสามารถส่งออกได้อีกประมาณ 100,000 – 150,000 ตัน
- การบริโภคในประเทศ: ความต้องการบริโภคในประเทศมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ประมาณ 17,500 ตัน
1.3 การประเมินภาวะอุปทานส่วนเกิน
เมื่อเปรียบเทียบผลผลิตช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม (185,000 ตัน) กับความต้องการรวมสูงสุดที่คาดการณ์ไว้ (ส่งออก 150,000 ตัน + บริโภค 17,500 ตัน) จะพบว่ายังไม่เพียงพอต่อการรองรับผลผลิตทั้งหมด คาดการณ์ว่าจะมี อุปทานส่วนเกินคงค้างในระบบประมาณ 80,000 – 100,000 ตัน ที่จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการเพิ่มเติม
2. ผลกระทบด้านราคาและเศรษฐกิจ
- แนวโน้มราคา: ราคาอ้างอิงเฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2568 ลดลงจากสัปดาห์แรก (39.32 บาท/กก.) มาอยู่ที่สัปดาห์ที่สาม (17.54 บาท/กก.) ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนของภาวะอุปทานล้นตลาด
- ผลกระทบต่อเกษตรกร: หากไม่มีมาตรการแทรกแซง คาดว่าราคาอ้างอิงจะลดต่ำกว่า 15 บาท/กก. และราคาหน้าสวนอาจเหลือเพียง 8-10 บาท/กก. ซึ่ง ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตที่ 26.57 บาท/กก. (ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) จะส่งผลให้เกษตรกรขาดทุนอย่างหนัก
- ผลกระทบต่อภาพลักษณ์: การเร่งระบายผลผลิตคุณภาพต่ำออกสู่ตลาดต่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาราคาตกต่ำ อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และมาตรฐานของผลไม้ไทยในระยะยาว
3. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย: มาตรการแทรกแซงตลาดระยะสั้น
เพื่อพยุงราคามังคุดให้อยู่ในระดับที่เกษตรกรยอมรับได้ (เป้าหมาย 20-25 บาท/กก.) และสร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้นประมาณ 1,500 ล้านบาท Think Forward Center จึงขอเสนอมาตรการดูดซับอุปทานส่วนเกินออกจากตลาดเป้าหมาย 80,000 – 100,000 ตัน ผ่าน 3 ช่องทางหลัก
3.1 ช่องทางการกระจายผลผลิตและปริมาณเป้าหมาย

3.2 กรอบงบประมาณที่ต้องการ (โดยประมาณ)

แหล่งงบประมาณ: เสนอให้ใช้งบประมาณจาก งบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน 3,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจากจะสามารถสร้างรายได้กลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจฐานราก (เกษตรกร) ได้ถึง 1,500 ล้านบาท (คำนวณจากส่วนต่างราคา 10 บาท/กก. x ผลผลิต 150,000 ตัน) ยังไม่นับรวมมูลค่าเพิ่มจากการแปรรูปและประโยชน์ด้านโภชนาการ
4. การประเมินความเสี่ยงและแนวทางบริหารจัดการ

สรุป
สถานการณ์ ราคามังคุดตกต่ำ ในปี 2568 เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดจากอุปทานส่วนเกินและผลผลิตที่กระจุกตัว การแทรกแซงตลาดอย่างเร่งด่วนด้วยงบประมาณสุทธิ 3,500 ล้านบาท เพื่อดูดซับอุปทานส่วนเกิน 100,000 ตัน เป็นแนวทางที่จำเป็น มีความเป็นไปได้และมีประสิทธิภาพในการรักษาเสถียรภาพราคาและบรรเทาผลกระทบต่อเกษตรกรได้อย่างทันท่วงที และเพื่อเป็นการดูแลเกษตรกรชาวสวนมังคุดที่ลงทุนลงแรงดูแลรักษาสวนมาอย่างต่อเนื่องหลายปี ไม่ให้ขาดทุนจนต้องล้มละลาย ทั้งยังเป็นการรักษาความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศไทยอีกด้วย