หมูยังเด้ง และทำไมเงินออมคนไทยจึงไม่เด้ง


แน่นอนว่า หนึ่งในปัญหาสำคัญขณะนี้คือ “หนี้ครัวเรือน” และเวลาเราพูดถึงหนี้ครัวเรือน สิ่งหนึ่งที่เรามักจะมองควบคู่กันเสมอก็คือ “การออม” ในการประชุมวิชาการของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยก็กล่าวในการปาฐกถาว่า “มีเพียง 22% ของคนไทยที่มีเงินออมในระดับที่เพียงพอ และเพียง 16% ที่มีการออมเพื่อการเกษียณอายุ” และภาวะออมน้อย และหนี้สูงก็มักถูกผูกรวมกันเป็นภาวะการ “มองสั้น” หรือการไม่ได้วางแผนถึงอนาคตของคนไทย 

บทความนี้ จะมาพูดคุยเรื่องการออมของคนไทย เพื่อตอบคำถามว่าคนไทยมองสั้นจริงหรือไม่? คนไทยออมไม่พอจริงหรือไม่? อะไรเป็นอุปสรรคในการออมของคนไทย? และเราจะฝ่าข้ามอุปสรรคเหล่านั้นได้อย่างไร


คนไทยมองสั้นจริงหรือไม่?

จากการสำรวจ“ทักษะทางการเงิน” ของคนไทย เมื่อปี 2565 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งเป็นการสำรวจ ความรู้ พฤติกรรม และทัศนคติ ของคนไทยในการบริหารจัดการเงินในชีวิตประจำวัน พบว่า คนไทยมีพัฒนาการของระดับทักษะทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 71.4% ดีขึ้นกว่าปี 2563 ที่ 67.4% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD ที่ 60.5%

จากการสำรวจต่อเนื่องในช่วง 6 ปีหลัง (ตั้งแต่ปี 2559)  คนไทยมีความรู้ทางการเงินดีขึ้นต่อเนื่อง โดยภาพรวมคนไทยมีความเข้าใจเรื่องการคำนวณดอกเบี้ยสินเชื่อ และความเสี่ยงและผลตอบแทนมากที่สุด

ขณะเดียวกัน คนไทยมีทัศนคติทางการเงินแย่ลงเล็กน้อย โดยคนตอบเห็นด้วยมากขึ้นกับคำถามในหัวข้อ “มีชีวิตอยู่เพื่อวันนี้ ไม่คิดวางแผนสำหรับอนาคต” และ “มีความสุขในการใช้เงินมากกว่าเก็บออม” สะท้อนให้เห็นว่า คนที่ไม่ได้วางแผนและเก็บออมเพื่ออนาคตมีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ค่าคะแนนทัศนคติทางการเงินของคนไทย (76.8 คะแนน) ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD (59.2 คะแนน)

นอกจากนั้น การสำรวจดังกล่าวยังพบว่า สัดส่วนคนไทยที่เก็บออมในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ 87.5% คือมีการออมสูง แม้ว่าจะผ่านช่วงวิกฤตโควิด-19 มา สัดส่วนคนไทยที่มีการออมก็ลดลงเพียง 2.7% จากในปี 2563

โดยสรุป คนไทยไม่ออม หรือคนไทยไม่มีความณ้เรื่องการออม ก็คงไม่จริงไม่ได้


ปัญหาคือ การออมไม่พอ

เมื่อเจาะลงไปถึง การออมของไทยที่เผื่อไว้ในยามฉุกเฉินก็พบว่า ร้อยละ 71.7 ของคนไทยมีการออเงินเผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน และเมื่อถามลึกลงไปอีกว่า ระยะเวลาที่สามารถนำเงินออมมาใช้ดำรงชีพเมื่อต้องหยุดทำงาน (หรือเราอาจจะเรียกว่า “กันชนทางการเงิน”) ได้สักกี่เดือน? จุดนี้ที่จะเป็นปัญหาของการออมเงินของคนไทย เพราะการสำรวจพบว่า ระยะเวลาที่ครัวเรือนสามารถนำเงินออมมาใช้ดำรงชีพได้ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป มีไม่ถึง 1 ใน 4 ของครัวเรือนทั้งสิ้นหรือคิดเป็นร้อยละ 22.2 เท่านั้น (ซึ่งเป็นตัวเลขที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยใช้กล่าวในงานสัมมนา)

ถ้าเราลองเรียงลำดับ จากกันชนทางการเงินน้อยไปมากเราจะพบว่า

  • ร้อยละ 4.6 ดำรงชีพได้ 1 สัปดาห์เท่านั้น
  • ร้อยละ 14.4 อยู่ได้อย่างน้อย 1 สัปดาห์แต่ไม่ถึง 1 เดือน
  • ร้อยละ 19.4 อยู่ได้อย่างน้อย 1 เดือนแต่ไม่ถึง 3 เดือน
  • ร้อยละ 13.4 อยู่ได้อย่างน้อย 3 เดือน แต่ไม่ถึง 6 เดือน

แน่นอนว่า ครัวเรือนเกือบร้อยละ 60 นี้ ย่อมมีความเสี่ยงทางการเงิน นี่ยังไม่นับรวมครัวเรือนร้อยละ 26 ที่ไม่ทราบหรือไม่แน่ใจว่าตนเองมีเงินออมเพียงพอสำหรับการดำรงชีพหากต้องหยุดทำงานอยู่เท่าไร?

ในแง่การวางแผนการเก็บออมไว้สำหรับยามชรา/เกษียณอายุ พบว่า ร้อยละ 72 ของครัวเรือนไทยมีการวางแผนการออมสำหรับยามเกษียณอายุเอาไว้ แต่พบว่า

  • ร้อยละ 20.0 คิด/วางแผนแล้ว แต่ยังไม่เริ่มทำ
  • ร้อยละ 46.7 คิด/วางแผนแล้ว เริ่มทำแล้ว แต่ยังทำไม่ได้ตามแผนที่วางไว้/ตั้งใจไว้
  • มีเพียงร้อยละ 14.4 เท่านั้นที่คิด/วางแผน และทำได้ตามแผนที่วางไว้

กล่าวโดยย่อ คนไทยมีการเก็บออม เพียงแต่เก็บออมได้น้อย เพียงพอที่จะนำมาใช้ได้ในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น และยังไม่สามารถดำเนินการตามแผนการเงินของตนในระยะยาวได้


แล้วทำไมคนไทยออมเงินได้น้อย?

ถ้าเรามองรายได้และรายจ่ายของครัวเรือนไทยแต่ละกลุ่ม (ทั้งสิ้น 10 กลุ่ม กลุ่มละ 10% ของครัวเรือนทั้งหมด) จากกลุ่มที่มีรายได้น้อยที่สุด (ซ้ายมือสุด) ไปจนถึงกลุ่มที่มีรายได้มากที่สุด (ขวามือสุด) เราจะเห็นได้ว่า ครัวเรือนไทย 5 กลุ่ม ซึ่งก็คือร้อยละ 50 มีเงินที่สามารถออมได้ (คือรายได้มากกว่ารายจ่าย) ไม่ถึง 1,000 บาท/คน/เดือน  

ในทางตรงกันข้าม ครัวเรือนกลุ่มที่รวยที่สุด 10% ของประเทศ กลุ่มนี้มีเงินออมเหลือถึง 14,175 บาท/คน/เดือน 

 ถ้าเราลองเปรียบเทียบเงินออม เดือนละ 1,000 บาท กับเดือนละ 14,000 บาท ไปตลอดระยะเวลา 20 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 เราจะพบว่า ครัวเรือน 50% ที่มีเงินออม (น้อยกว่า) 1,000 บาท/เดือน จะมีเงินออมสะสมมากที่สุดประมาณ 297,400 บาท (เมื่อครบ 20 ปี) ในขณะที่ครัวเรือนที่มีรายได้มากที่สุดและออมเดือนละ 14,000 บาทจะพบว่า 4,163,600 บาท 

ซึ่งถ้านำเงินออมดังกล่าวเปรียบค่าใช้จ่ายของครัวเรือน 50% ของคนไทย ที่มีค่าใช้จ่ายประมาณ 5,000 บาท/เดือน ก็จะพบว่า หากผู้ที่มีเงินออมเกือบ 300,000 บาท ก็จะรองรับค่าใช้จ่าย 5,000 บาท/เดือน ได้ประมาณ 60 เดือน (หรือ 5 ปี) ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้ที่มีเงินออก 4.16 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่าย 20,000 บาท/เดือน ก็จะรองรับค่าใช้จ่ายได้ 208 เดือน (หรือประมาณ 17 ปี)


เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้โดยสรุปว่า สาเหตุสำคัญที่คนไทยมีเงินออมน้อยก็คือ คนไทยมีรายได้น้อย (เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย) นั่นเอง


ทางเลือกในการออมและการลงทุนก็จำกัดเช่นกัน

นอกจาก ปริมาณเงินออมแต่ละเดือนที่มีจำกัดแล้ว วิธีการเก็บออมของคนไทยก็มีจำกัดเช่นกัน เพราะจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ถึงวิธีการเก็บออมที่ครัวเรือนเลือกใช้ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา พบว่า 

  • มีครัวเรือนเก็บเป็นเงินสดสูงสุดถึงร้อยละ 75.0 
  • รองลงมาคือ เก็บเงินในบัญชีที่เปิดไว้เพื่อออมเงินโดยเฉพาะ ร้อยละ 54.5 
  • ฝากเงินในสหกรณ์และกลุ่มออมทรัพย์ต่าง ๆ ร้อยละ 14.4 
  • ให้คนในครอบครัวเก็บแทน ร้อยละ 12.1 
  • เก็บออมในรูปแบบอื่น ๆ (เช่น ซื้อที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร) ร้อยละ 3.4 
  • ลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงิน (เช่น พันธบัตรหุ้น กองทุนรวม) ร้อยละ 2.5 
  • นำไปลงทุนในเงินดิจิทัล (เช่น Bitcoin, Ethereum และ Libra) ร้อยละ 0.5

ซึ่งถ้าดูจากตัวเลขข้างต้นพบว่า ครัวเรือนมีการออมในรูปแบบของการลงทุนเพียงไม่ถึง 10% เท่านั้น ส่วนใหญ่จะเก็บในรูปของบัญชีออมทรัพย์ ซึ่งมีผลตอบแทนน้อยกว่า และจะส่งผลต่อเงินออมที่เราจะได้รับด้วย

เช่น ถ้าหากเราคำนวณเงินออมของครัวเรือน 50% ที่มีเงินออม (น้อยกว่า) 1,000 บาท/เดือน ตลอดระยะเวลา 20 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี แต่ะครัวเรือนจะมีเงินออม 266,870 บาท แต่ถ้าสามารถเพิ่มอัตราผลตอบแทน (หรืออัตราดอกเบี้ย) ได้เป็น 4% ต่อปี เงินออมของแต่ละครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นเป็น 371,630.42 บาท หรือเท่ากับรองรับค่าใช้จ่าย 5,000 บาท/เดือน ได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 21 เดือน หรือเกือบ 2 ปี


แนวนโยบายช่วยคนไทยออมเงิน

แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะเพิ่มเงินออมของคนไทยได้อย่างไร?

  1. แน่นอนว่า การเพิ่มรายได้ของคนไทยจึงสำคัญมาก ซึ่งต้องดำเนินการผ่านนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การกระจายรายได้สู่ภูมิภาคต่างๆ การสร้างงานสำหรับอนาคต
  2. ตามมาด้วยการลดค่าใช้จ่ายของคนไทย แล้วนำมาออมแทน ผ่าน
    1. การลดรายจ่ายที่เกินสมควร (แต่บางครั้งไม่มีทางเลือก) เช่น การเปลี่ยนดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบ เป็นในระบบ
    2. ระบบสวัสดิการต่างๆ เช่น ขนส่งสาธารณะ น้ำประปาดื่มได้
    3. การลงทุนผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านเรือน 
  3. การจูงใจให้มีการออมผ่านระบบสวัสดิการสังคม เช่น 
    1. การที่รัฐจะร่วมสมทบออมเพิ่มขึ้นสำหรับผู้มีรายได้น้อย ผ่านกองทุนประกันสังคม (เช่นในมาตรา 40) หรือกองทุนการออมแห่งชาติ
    2. การตั้งข้อกำหนดกองทุนบำนาญผู้สูงอายุ ที่จะมีทั้งการเพิ่มบำนาญ (หรือเบี้ยยังชีพ) ผู้สูงอายุแบบถ้วนหน้า โดยมีเงื่อนไขหรือมีแรงจูงใจให้ประชาชนร่วมออมสมทบตั้งแต่ในวัยทำงาน
  4. การมีองค์กรที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของครัวเรือน อาจเป็นกิจการเพื่อสังคม ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เช่น กลุ่ม Nuburo wealth-being เพื่อช่วยให้คำแนะนำทั้งในเรื่องการออม การลงทุน และการแก้ไขปัญหาหนี้สินที่เผชิญด้วย
  5. เพิ่มแรงจูงใจในการออมในรูปแบบต่างๆ เช่น การมีบ้านที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ซึ่งถือเป็นการออมเงินในระยะยาว หรือกองทุนธนาคารต้นไม้ ซึ่งก็ถือเป็นการออมเงินในระยะยาว และยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงด้วย




เอกสารอ้างอิง

ธนาคารแห่งประเทศไทย, มปพ. ผลสำรวจทักษะการเงินของคนไทย 2565. https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/bot-magazine/Phrasiam-67-2/2567-info-financial-skill.html 

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. สถิติด้านความยากจนและการกระจายรายได้ https://www.nesdc.go.th/ewt_dl_link.php?nid=3518&filename=PageSocial 

สำนักงานสถิติแห่งชาติ.สรุปผลที่สำคัญ การสำรวจติดตามระดับความรู้ และการเข้าถึงบริการทางการเงินของครัวเรือน พ.ศ. 2565  https://www.nso.go.th/nsoweb/storage/survey_detail/2023/20231115075919_49757.pdf 
*หมายเหตุ ดัดแปลงจากบทสัมภาษณ์ ดร. ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร เนื่องในวันการออมแห่งชาติ 31 ตุลาคม 2567 คลิปวิดีโอสามารถรับชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=hP9-xiVEQTw&t=529s

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า