เดชรัต สุขกำเนิด
Think Forward Center
การประกาศของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 (เวลาในสหรัฐอเมริกา) ให้มีการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับประเทศผู้ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาประมาณ 60 ประเทศ ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกกำแพงภาษีนำเข้าเหล่านั้น โดยสหรัฐอเมริกากำหนดอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้สำหรับประเทศไทยไว้ที่ 37% ซึ่งถือเป็นระดับที่ค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับอีกหลายประเทศ
การประกาศมาตรการฉุกเฉินด้านเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาดังกล่าว ได้ส่งผลให้เกิดความกังวลใจขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศไทยที่กังวลว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการผลิตและการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะภาคเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคการส่งออกหลักของไทย และที่ผ่านมามักถูกเรียกร้องจากสหรัฐอเมริกาให้ไทยเปิดตลาดหรือผ่อนคลายมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีให้กับสหรัฐอเมริกามากขึ้น เช่น การผลักดันให้ไทยอนุญาตนำเข้าเนื้อหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงจากสหรัฐอเมริกา ในช่วงประธานาธิบดีทรัมป์สมัยที่ 1 และการผลักดันให้ไทยเพิ่มโควต้าในการนำเข้าพืชอาหารสัตว์จากสหรัฐอเมริกามากขึ้น เป็นต้น
บทความนี้ จึงนำเสนอถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับสินค้าเกษตรของไทย รวมทั้งหลักการและแนวทางในการรับมือกับผลกระทบดังกล่าว โดยจะเริ่มต้นจากการนำเสนอข้อมูลพื้นฐานว่าด้วยการค้าสินค้าเกษตรของไทยกับสหรัฐอเมริกา จากนั้นจะนำเสนอมาตรการกำแพงภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคเกษตร ก่อนที่จะนำเสนอมาตรการในการรับมือกับการตั้งกำแพงภาษีดังกล่าว และหลักการในเจรจาต่อรองเรื่องการนำเข้าสินค้าเกษตรกับสหรัฐอเมริกา

หมายเหตุ กระทรวงพาณิชย์ชี้แจงว่า ไทยถูกกำหนดภาษีในอัตรา 37% ไม่ใช่ 36% ทั้งนี้ โดยหลักการ ควรพิจารณาใช้ข้อมูลจากตัวคำสั่ง Executive Order (EO) ที่มีการระบุอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) สำหรับประเทศไทยอยู่ที่ 37% ใน Annex I ที่เผยแพร่ลงเว็บไซต์ของทำเนียบขาว (White House) อย่างเป็นทางการ
การค้าสินค้าเกษตรระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ในปี 2567 ประเทศสหรัฐอเมริกา นำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย 1,899 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 6.59 ของสินค้าเกษตรส่งออกทั้งหมด จัดเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรที่สำคัญเป็นอันดับ 3 ของไทย ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร (หรือสินค้าเกษตรแปรรูป) สหรัฐอเมริกานำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรของไทย 3,438 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 14.72% ของสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรส่งออกทั้งหมดของไทย สหรัฐอเมริกาถือเป็นผู้นำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรอันดับ 1 ของไทย
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้รายงานการนำเข้าและการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในปี 2566 ว่าไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น 153,059 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.6 และสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรที่สำคัญอันดับ 3 ของไทย รองจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและญี่ปุ่น ในขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐอเมริการ 49,349 ล้านบาท หรือประเทศสหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้าสินค้าเกษตรของไทยอยู่ 103,710 ล้านบาท
หากพิจารณาเป็นรายหมวดสินค้าจะพบว่า หมวดสินค้าเกษตรของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาสูงสุดในปี 2566 คือ หมวดข้าว (24,981 ล้านบาท) ตามมาด้วยหมวดผลไม้ (24,710 ล้านบาท) หมวดยางธรรมชาติ (13,569 ล้านบาท) หมวดกุ้ง (11,598 ล้านบาท) และหมวดผัก 3,329 ล้านบาท โดยสินค้าที่ตลาดสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนสูงที่สุดในการส่งออกคือ กุ้ง ร้อยละ 25.28 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ข้าว ร้อยละ 12.18 ผักร้อยละ 10.05 ผลไม้ร้อยละ 8.16 และยางธรรมชาติ ร้อยละ 6.38 ของสินค้าเกษตรทั้งหมด
สำหรับรายการสินค้าเกษตรของไทยที่สหรัฐอเมริกามีการนำเข้าคิดเป็นมูลค่าสูงที่สุด 10 อันดับแรก ในปี 2566 ได้แก่
- ข้าวเจ้าขาวหอมมะลิไทย 100% ชั้น 1 มูลค่าการส่งออก 17,126 ล้านบาท
- อาหารสุนัขหรือแมวสำหรับการขายปลีก มูลค่าการส่งออก 14,818 ล้านบาท
- ปลาสคิปแจ็คและปลาโบนิตาบรรจุกระป๋อง มูลค่าการส่งออก 9,784 ล้านบาท
- ยางธรรมชาติ มูลค่าการส่งออก 4,968 ล้านบาท
- ปลาบรรจุกระป๋อง มูลค่าการส่งออก 4,969 ล้านบาท
- ปลาทูน่าบรรจุกระป๋อง มูลค่าการส่งออก 4,314 ล้านบาท
- กะทิสำเร็จรูป บรรจุกระป๋อง มูลค่าการส่งออก 4,228 ล้านบาท
- น้ำมะพร้าว มูลค่าการส่งออก 4,169 ล้านบาท
- กุ้งชุบเกล็ดขนมปัง มูลค่าการส่งออก 3,291 ล้านบาท
- น้ำผลไม้หรือน้ำผักอื่นๆ มูลค่าการส่งออก 3,107 ล้านบาท
เพราะฉะนั้น กล่าวได้ว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญไม่น้อยสำหรับประเทศไทย และนอกเหนือจากสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่รายงานไว้แล้ว สหรัฐอเมริกายังนำเข้าสินค้าผลิตภัณฑ์ยางสำเร็จรูป (ซึ่งนับเป็นสินค้าในภาคอุตสาหกรรม) เช่น ยางล้อยานยนต์ สูงถึง 2,100 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นสินค้าที่มูลค่าส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาสูงเป็นอันดับ 3 ของไทย รองจากเครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์
มาตรการกำแพงภาษีศุลกากรแบบตอบโต้
การกำหนดมาตรการภาษีศุลกากรนำเข้าตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์ มีผลที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ดังนี้
- เป็นการขึ้นภาษี 37% โดยบวกเพิ่มเข้าไปจากฐานภาษีที่จัดเก็บอยู่เดิม
- จัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในทุกประเภทสินค้า (ยกเว้น 6 ประเภท ซึ่งไม่มีสินค้าเกษตร เช่น สิ่งพิมพ์ ยา ทองแดง เซมิคอนดักเตอร์)
- มีผลบังคับใช้ทันที โดยจะขึ้นเป็น 10% ในวันที่ 5 เมษายน และขึ้นส่วนที่เหลืออีก 25% ในวันที่ 9 เมษายน
- ประเทศไทยถูกจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในอัตราที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ และประเทศที่ผลิตสินค้าเกษตรคล้ายคลึงกัน เช่น มาเลเซีย (ร้อยละ 24) อินโดนีเซีย (ร้อยละ 32)
- ประเทศที่ได้รับผลกระทบมีเป็นจำนวนประมาณ 60 ประเทศ และหลายประเทศเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย ไปแปรรูปและส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาอีกทอดหนึ่ง เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเกษตรกรไทย
จากลักษณะของมาตรการที่การบังคับใช้อย่างฉับพลันทันที มีผลกระทบอย่างรุนแรง และแผ่เป็นวงกว้างครอบคลุมหลายประเทศและครอบคลุมเกือบทุกสินค้า ทำให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรไทยในหลายทางด้วยกัน โดยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเกษตรกรไทย อาจแบ่งเป็น 5 ลักษณะ คือ
- ผลกระทบทางตรงต่อสินค้าเกษตรส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ที่จะมีภาระภาษีมากขึ้นทันที (เริ่มในวันที่ 5 เมษายน) กระทบกับราคาสินค้าขายปลีก และโดยรวมอาจส่งออกได้น้อยลง โดยสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญของไทยในตลาดสหรัฐอเมริกาที่อาจได้รับผลกระทบคือ ยางธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ยาง กุ้ง อาหารทะเลกระป๋อง ข้าวหอมมะลิ กะทิและน้ำมะพร้าว
- ผลกระทบทางอ้อมจากการลดลงของการส่งออกในประเทศคู่ค้าของไทย ซึ่งเกิดจากการที่ประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย และนำไปแปรรูปก่อนส่งออกต่อไปยังสหรัฐอเมริกาและอาจส่งออกได้ลดลง จนพลอยทำให้เราส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังประเทศนั้นได้ลดลงด้วย
- ผลกระทบทางอ้อมจากการระบายสินค้ามายังประเทศไทย ซึ่งเป็นผลจากสินค้าเกษตรส่งออกของประเทศอื่นๆ ที่ส่งเข้าสหรัฐอเมริกาได้น้อยลง จะหันมายังประเทศไทยแทน โดยเฉพาะประเทศที่ถูกจัดเก็บภาษีจากสหรัฐอเมริกาในอัตราที่สูง เช่น เวียดนาม (ร้อยละ 49) และจีน (ร้อยละ 34 บวกร้อยละ 20 ที่ประกาศไปก่อนหน้านี้แล้ว)
- ผลกระทบต่อการชะงักการลงทุนที่จะเข้ามาในภาคเกษตร เพราะเมื่อไทยถูกจัดเก็บในอัตราที่สูง นักลงทุนที่เคยคาดว่า จะใช้ไทยเป็นฐานในการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา อาจหยุดชะงักการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย อย่างน้อยในระยะสั้น เพื่อประเมินท่าทีของสหรัฐอเมริกา และผลกระทบต่อการค้าโลกอีกต่อหนึ่ง
- ผลกระทบที่สำคัญที่สุดของภาคเกษตร น่าจะเป็น ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเจรจาต่อรองระหว่างสหรัฐอเมริกากับไทย โดยมีประเภทสินค้าที่อาจได้รับผลกระทบในลักษณะนี้ ประกอบไปด้วย 3 ลักษณะย่อย ได้แก่
- เรียกร้องให้ไทยลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา เช่น ไวน์ เบียร์ เนื้อวัว
- เรียกร้องให้ไทยเพิ่มโควต้าการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา เช่น การนำเข้าธัญพืชจากสหรัฐอเมริกา เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวสาลี หรือกาแฟ
- เรียกร้องให้ไทยลดข้อกำหนดที่เป็นมาตรฐานสุขภาพ และสุขอนามัยพืชหรือสัตว์ เช่น
- เนื้อสุกร/ชิ้นส่วนสุกรนำเข้า (และเนื้อวัว) ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถนำเข้าได้เนื่องจากมีการใช้สารเร่งเนื้อแดง
- เนื้อสัตว์ปีกนำเข้า ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถนำเข้าได้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก
มาตรการรับมือกับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากการเกษตร
เนื่องจากสถานการณ์ที่มีการตั้งกำแพงภาษีอย่างฉับพลัน รุนแรง และครอบคลุมกว้างขวางเป็นสิ่งที่ประเทศไทยยังไม่เคยประสบมาก่อน การคาดการณ์ผลกระทบจึงทำได้ยาก แต่ในเบื้องต้น รัฐบาลควรเตรียมการรับมือกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นโดย 7 มาตรการด้วยกันคือ
- สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตร กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงควรประเมินผลกระทบและติดตามสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องในตลาดสหรัฐอเมริกาและตลาดสำคัญโดยด่วนที่สุด โดยควรกำหนดสินค้าเฝ้าระวังสำคัญ ซึ่งประเทศคู่แข่งขันสำคัญมีอัตราภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ที่ต่ำกว่าไทย อาทิ
- การส่งออกข้าวไปยังสหรัฐอเมริกา ที่ประเทศไทยมีส่วนแบ่งการตลาดในสหรัฐอเมริกาสูงถึง 53.6% แต่ประเทศคู่แข่งสำคัญมีอัตราภาษีต่ำกว่าไทย เช่น อินเดีย (ร้อยละ 27) และปากีสถาน (ร้อยละ 29) ถึงแม้ว่า ทั้งสองประเทศส่งออกข้าวคนละชนิดกับไทย (ข้าวบาสมาติ VS ข้าวหอมมะลิ) แต่อัตราภาษีที่แตกต่างกัน อาจมีผลกระทบต่อราคาและการทดแทนกันของสินค้าในระดับหนึ่ง
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องกำหนดแผนส่งเสริมการเพาะปลูก (และเพาะเลี้ยง) ในช่วงฤดูฝนปี 2568 ไปจนถึงต้นปี 2569 โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการชะลอตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรนั้นๆ ตามข้อ 1 เพื่อป้องกันมิให้เกิดสถานการณ์สินค้าล้นตลาด และราคาตกต่ำตามมา
- กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ควรดำเนินการร่วมกันในติดตามและช่วยสนับสนุนสภาพคล่องของผู้ประกอบการค้าสินค้าเกษตร ที่อาจได้รับผลกระทบจากการส่งออกลดลงฉับพลัน (ในระยะต้น) และประสบปัญหาสินค้าคงค้างในสต็อกจำนวนมาก จนอาจกลายเป็นปัญหาในการรับซื้อสินค้าจากเกษตรกรได้ในระยะต่อไป
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงสาธารณสุข ต้องเตรียมพร้อมในการควบคุมและตรวจสอบสินค้าเกษตรนำเข้าที่อาจจะทะลักมาจากประเทศที่ไม่สามารถส่งออกสินค้าเกษตรไปยังสหรัฐอเมริกาและระบายเข้ามายังประเทศไทยแทน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและข้อตกลงระหว่างประเทศ รวมถึงฝ่ายความมั่นคงตามแนวชายแดน ต้องระมัดระวังการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรอย่างผิดกฎหมาย
- รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศควรเจรจากับประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรชนิดเดียวกัน ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเหมือนกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางด้านราคาจนเกินสมควรในตลาดโลก เช่น ยางพารา กุ้ง ข้าว
- ในส่วนของมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งสหรัฐอเมริกาอาจยกมาต่อรองกับไทย รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุดมศึกษาฯ ควรร่วมมือกันในการเจรจากับองค์กรระหว่างประเทศ และประเทศอื่นๆ ที่มีมาตรฐานในลักษณะเดียวกับไทย เพื่อเตรียมความพร้อมทางเทคนิคในการเจรจา เพื่อคงรักษามาตรการที่จำเป็นในการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคและเกษตรกร
- ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องติดตามผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ ของสกุลเงินสำคัญต่างๆ หากมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อกระแสการค้าและการลงทุนระว่างประเทศ
หลักการสำคัญในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐอเมริกา
เนื่องจาก สินค้าเกษตรเป็นสินค้าเป้าหมายที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการขยายการส่งออกของสหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้น รัฐบาลไทย โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุข ควรกำหนดหลักการสำคัญในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ในส่วนที่มีผลกระทบกับเกษตรกร ประกอบด้วย
- หลักการความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม การที่รัฐบาลจะนำสินค้าเกษตรตัวใดไปอยู่ในกรอบการเจรจากับสหรัฐอเมริกา รัฐบาลต้องแจ้งให้สาธารณชน องค์กรที่เกี่ยวข้อง และพี่น้องเกษตรกรทราบ รวมถึงเปิดให้เกษตรกรและองค์กรได้มีส่วนร่วมแสดงความเห็นก่อนการเจรจา
- หลักการประเมินผลกระทบตลอดห่วงโซ่อุปทาน การที่รัฐบาลจะนำสินค้าเกษตรไปเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการเจรจา ต้องพิจารณาและประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเจรจาต่อรองนั้น ในทุกๆ ส่วนของห่วงโซ่อุปทาน
- หลักการความปลอดภัย สหรัฐอเมริกาอ้างว่า ประเทศไทยมีมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (หรือ non-tariff barriers) มากกว่า 166 รายการ ซึ่งรายการเหล่านี้อาจตกเป็นเป้าหมายในการเจรจาต่อรอง ซึ่งการยกเว้น/ลดหย่อนมาตรการใด จำเป็นต้องตั้งอยู่บนหลักของความปลอดภัยของผู้บริโภคและเกษตรกรเป็นสำคัญ เช่น ไม่ควรอนุญาตให้นำเข้าเนื้อสัตว์ที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง เป็นต้น
- หลักการความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา โดยการเจรจากับสหรัฐอเมริกา ควรเน้นไปที่การนำเข้าเครื่องจักร/อุปกรณ์ทางการเกษตร ที่ประเทศไทยยังขาดแคลนและจำเป็นต้องใช้ และการวิจัยและพัฒนาในภาคการเกษตร เช่น การพัฒนาเกษตรแม่นยำ/เกษตรอัจฉริยะ การพัฒนาสินค้าเกษตรแปรรูปขั้นสูง ซึ่งจะช่วยให้ดุลการค้าของไทยและสหรัฐอเมริกามีความสมดุลมากขึ้น โดยเกษตรกรไม่ได้รับผลกระทบทางลบ
สรุป
การกำหนดมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ของสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการค้าสินค้านเกษตรของไทยและของโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้น จึงยากที่จะคาดการณ์ผลกระทบที่ชัดเจนได้ และการเตรียมความพร้อมในมาตรการรับมือทั้ง 7 ข้อ และการยึดมั่นในหลักการเจรจากับสหรัฐอเมริกาทั้ง 4 ข้อ จะเป็นแนวทางเบื้องต้น ในการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนในประเทศไทย ก่อนที่จะติดตามและประเมินสถานการณ์ที่ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง หลังจากมาตรการมีผลบังคับใช้จริง โดยเร็ว