ผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาต่อเกษตรกรและข้อเสนอมาตรการรับมือของรัฐบาลไทย

เดชรัต สุขกำเนิด
Think Forward Center


การประกาศของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 (เวลาในสหรัฐอเมริกา) ให้มีการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับประเทศผู้ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาประมาณ 60 ประเทศ ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกกำแพงภาษีนำเข้าเหล่านั้น โดยสหรัฐอเมริกากำหนดอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้สำหรับประเทศไทยไว้ที่ 37% ซึ่งถือเป็นระดับที่ค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับอีกหลายประเทศ

การประกาศมาตรการฉุกเฉินด้านเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาดังกล่าว ได้ส่งผลให้เกิดความกังวลใจขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศไทยที่กังวลว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการผลิตและการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะภาคเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคการส่งออกหลักของไทย และที่ผ่านมามักถูกเรียกร้องจากสหรัฐอเมริกาให้ไทยเปิดตลาดหรือผ่อนคลายมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีให้กับสหรัฐอเมริกามากขึ้น เช่น การผลักดันให้ไทยอนุญาตนำเข้าเนื้อหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงจากสหรัฐอเมริกา ในช่วงประธานาธิบดีทรัมป์สมัยที่ 1 และการผลักดันให้ไทยเพิ่มโควต้าในการนำเข้าพืชอาหารสัตว์จากสหรัฐอเมริกามากขึ้น เป็นต้น

บทความนี้ จึงนำเสนอถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับสินค้าเกษตรของไทย รวมทั้งหลักการและแนวทางในการรับมือกับผลกระทบดังกล่าว โดยจะเริ่มต้นจากการนำเสนอข้อมูลพื้นฐานว่าด้วยการค้าสินค้าเกษตรของไทยกับสหรัฐอเมริกา จากนั้นจะนำเสนอมาตรการกำแพงภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคเกษตร ก่อนที่จะนำเสนอมาตรการในการรับมือกับการตั้งกำแพงภาษีดังกล่าว และหลักการในเจรจาต่อรองเรื่องการนำเข้าสินค้าเกษตรกับสหรัฐอเมริกา


หมายเหตุ ระทรวงพาณิชย์ชี้แจงว่า ไทยถูกกำหนดภาษีในอัตรา 37% ไม่ใช่ 36% ทั้งนี้ โดยหลักการ ควรพิจารณาใช้ข้อมูลจากตัวคำสั่ง Executive Order (EO) ที่มีการระบุอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้  (Reciprocal Tariffs) สำหรับประเทศไทยอยู่ที่ 37% ใน Annex I ที่เผยแพร่ลงเว็บไซต์ของทำเนียบขาว (White House) อย่างเป็นทางการ


การค้าสินค้าเกษตรระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา

ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ในปี 2567 ประเทศสหรัฐอเมริกา นำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย 1,899 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 6.59 ของสินค้าเกษตรส่งออกทั้งหมด จัดเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรที่สำคัญเป็นอันดับ 3 ของไทย ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร (หรือสินค้าเกษตรแปรรูป) สหรัฐอเมริกานำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรของไทย 3,438 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 14.72% ของสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรส่งออกทั้งหมดของไทย สหรัฐอเมริกาถือเป็นผู้นำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรอันดับ 1 ของไทย

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้รายงานการนำเข้าและการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในปี 2566 ว่าไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น 153,059 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.6 และสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรที่สำคัญอันดับ 3 ของไทย รองจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและญี่ปุ่น ในขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐอเมริการ 49,349 ล้านบาท หรือประเทศสหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้าสินค้าเกษตรของไทยอยู่ 103,710 ล้านบาท

หากพิจารณาเป็นรายหมวดสินค้าจะพบว่า หมวดสินค้าเกษตรของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาสูงสุดในปี 2566 คือ หมวดข้าว (24,981 ล้านบาท) ตามมาด้วยหมวดผลไม้ (24,710 ล้านบาท) หมวดยางธรรมชาติ (13,569 ล้านบาท) หมวดกุ้ง (11,598 ล้านบาท) และหมวดผัก 3,329 ล้านบาท โดยสินค้าที่ตลาดสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนสูงที่สุดในการส่งออกคือ กุ้ง ร้อยละ 25.28 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ข้าว ร้อยละ 12.18 ผักร้อยละ 10.05 ผลไม้ร้อยละ 8.16 และยางธรรมชาติ ร้อยละ 6.38 ของสินค้าเกษตรทั้งหมด 

สำหรับรายการสินค้าเกษตรของไทยที่สหรัฐอเมริกามีการนำเข้าคิดเป็นมูลค่าสูงที่สุด 10 อันดับแรก ในปี 2566 ได้แก่ 

  1. ข้าวเจ้าขาวหอมมะลิไทย 100% ชั้น 1 มูลค่าการส่งออก 17,126 ล้านบาท 
  2. อาหารสุนัขหรือแมวสำหรับการขายปลีก มูลค่าการส่งออก 14,818 ล้านบาท
  3. ปลาสคิปแจ็คและปลาโบนิตาบรรจุกระป๋อง มูลค่าการส่งออก 9,784 ล้านบาท
  4. ยางธรรมชาติ มูลค่าการส่งออก 4,968 ล้านบาท
  5. ปลาบรรจุกระป๋อง มูลค่าการส่งออก 4,969 ล้านบาท
  6. ปลาทูน่าบรรจุกระป๋อง มูลค่าการส่งออก 4,314 ล้านบาท
  7. กะทิสำเร็จรูป บรรจุกระป๋อง มูลค่าการส่งออก 4,228 ล้านบาท
  8. น้ำมะพร้าว มูลค่าการส่งออก 4,169 ล้านบาท
  9. กุ้งชุบเกล็ดขนมปัง มูลค่าการส่งออก 3,291 ล้านบาท
  10. น้ำผลไม้หรือน้ำผักอื่นๆ มูลค่าการส่งออก 3,107 ล้านบาท

เพราะฉะนั้น กล่าวได้ว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญไม่น้อยสำหรับประเทศไทย และนอกเหนือจากสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่รายงานไว้แล้ว สหรัฐอเมริกายังนำเข้าสินค้าผลิตภัณฑ์ยางสำเร็จรูป (ซึ่งนับเป็นสินค้าในภาคอุตสาหกรรม) เช่น ยางล้อยานยนต์ สูงถึง 2,100 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นสินค้าที่มูลค่าส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาสูงเป็นอันดับ 3 ของไทย รองจากเครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์


มาตรการกำแพงภาษีศุลกากรแบบตอบโต้

การกำหนดมาตรการภาษีศุลกากรนำเข้าตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์ มีผลที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ดังนี้

  1. เป็นการขึ้นภาษี 37% โดยบวกเพิ่มเข้าไปจากฐานภาษีที่จัดเก็บอยู่เดิม
  2. จัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในทุกประเภทสินค้า (ยกเว้น 6 ประเภท ซึ่งไม่มีสินค้าเกษตร เช่น สิ่งพิมพ์ ยา ทองแดง เซมิคอนดักเตอร์)
  3. มีผลบังคับใช้ทันที โดยจะขึ้นเป็น 10% ในวันที่ 5 เมษายน และขึ้นส่วนที่เหลืออีก 25% ในวันที่ 9 เมษายน
  4. ประเทศไทยถูกจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในอัตราที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ และประเทศที่ผลิตสินค้าเกษตรคล้ายคลึงกัน เช่น มาเลเซีย (ร้อยละ 24) อินโดนีเซีย (ร้อยละ 32) 
  5. ประเทศที่ได้รับผลกระทบมีเป็นจำนวนประมาณ 60 ประเทศ และหลายประเทศเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย ไปแปรรูปและส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาอีกทอดหนึ่ง เช่น  สาธารณรัฐประชาชนจีน 


ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเกษตรกรไทย

จากลักษณะของมาตรการที่การบังคับใช้อย่างฉับพลันทันที มีผลกระทบอย่างรุนแรง และแผ่เป็นวงกว้างครอบคลุมหลายประเทศและครอบคลุมเกือบทุกสินค้า ทำให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรไทยในหลายทางด้วยกัน โดยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเกษตรกรไทย อาจแบ่งเป็น 5 ลักษณะ คือ

  1. ผลกระทบทางตรงต่อสินค้าเกษตรส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ที่จะมีภาระภาษีมากขึ้นทันที (เริ่มในวันที่ 5 เมษายน) กระทบกับราคาสินค้าขายปลีก และโดยรวมอาจส่งออกได้น้อยลง โดยสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญของไทยในตลาดสหรัฐอเมริกาที่อาจได้รับผลกระทบคือ ยางธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ยาง กุ้ง อาหารทะเลกระป๋อง ข้าวหอมมะลิ กะทิและน้ำมะพร้าว 
  2. ผลกระทบทางอ้อมจากการลดลงของการส่งออกในประเทศคู่ค้าของไทย ซึ่งเกิดจากการที่ประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย และนำไปแปรรูปก่อนส่งออกต่อไปยังสหรัฐอเมริกาและอาจส่งออกได้ลดลง จนพลอยทำให้เราส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังประเทศนั้นได้ลดลงด้วย
  3. ผลกระทบทางอ้อมจากการระบายสินค้ามายังประเทศไทย ซึ่งเป็นผลจากสินค้าเกษตรส่งออกของประเทศอื่นๆ ที่ส่งเข้าสหรัฐอเมริกาได้น้อยลง จะหันมายังประเทศไทยแทน โดยเฉพาะประเทศที่ถูกจัดเก็บภาษีจากสหรัฐอเมริกาในอัตราที่สูง เช่น เวียดนาม (ร้อยละ 49) และจีน (ร้อยละ 34 บวกร้อยละ 20 ที่ประกาศไปก่อนหน้านี้แล้ว)
  4. ผลกระทบต่อการชะงักการลงทุนที่จะเข้ามาในภาคเกษตร เพราะเมื่อไทยถูกจัดเก็บในอัตราที่สูง นักลงทุนที่เคยคาดว่า จะใช้ไทยเป็นฐานในการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา อาจหยุดชะงักการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย อย่างน้อยในระยะสั้น เพื่อประเมินท่าทีของสหรัฐอเมริกา และผลกระทบต่อการค้าโลกอีกต่อหนึ่ง 
  5. ผลกระทบที่สำคัญที่สุดของภาคเกษตร น่าจะเป็น ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเจรจาต่อรองระหว่างสหรัฐอเมริกากับไทย โดยมีประเภทสินค้าที่อาจได้รับผลกระทบในลักษณะนี้ ประกอบไปด้วย 3 ลักษณะย่อย ได้แก่
    • เรียกร้องให้ไทยลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา เช่น ไวน์ เบียร์ เนื้อวัว
    • เรียกร้องให้ไทยเพิ่มโควต้าการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา เช่น การนำเข้าธัญพืชจากสหรัฐอเมริกา เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวสาลี หรือกาแฟ
    • เรียกร้องให้ไทยลดข้อกำหนดที่เป็นมาตรฐานสุขภาพ และสุขอนามัยพืชหรือสัตว์ เช่น
      •  เนื้อสุกร/ชิ้นส่วนสุกรนำเข้า (และเนื้อวัว) ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถนำเข้าได้เนื่องจากมีการใช้สารเร่งเนื้อแดง
      • เนื้อสัตว์ปีกนำเข้า ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถนำเข้าได้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก


มาตรการรับมือกับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากการเกษตร

เนื่องจากสถานการณ์ที่มีการตั้งกำแพงภาษีอย่างฉับพลัน รุนแรง และครอบคลุมกว้างขวางเป็นสิ่งที่ประเทศไทยยังไม่เคยประสบมาก่อน การคาดการณ์ผลกระทบจึงทำได้ยาก แต่ในเบื้องต้น รัฐบาลควรเตรียมการรับมือกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นโดย 7 มาตรการด้วยกันคือ 

  1. สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตร กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงควรประเมินผลกระทบและติดตามสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องในตลาดสหรัฐอเมริกาและตลาดสำคัญโดยด่วนที่สุด โดยควรกำหนดสินค้าเฝ้าระวังสำคัญ ซึ่งประเทศคู่แข่งขันสำคัญมีอัตราภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ที่ต่ำกว่าไทย อาทิ
    • การส่งออกข้าวไปยังสหรัฐอเมริกา ที่ประเทศไทยมีส่วนแบ่งการตลาดในสหรัฐอเมริกาสูงถึง 53.6% แต่ประเทศคู่แข่งสำคัญมีอัตราภาษีต่ำกว่าไทย เช่น อินเดีย (ร้อยละ 27) และปากีสถาน (ร้อยละ 29) ถึงแม้ว่า ทั้งสองประเทศส่งออกข้าวคนละชนิดกับไทย (ข้าวบาสมาติ VS ข้าวหอมมะลิ) แต่อัตราภาษีที่แตกต่างกัน อาจมีผลกระทบต่อราคาและการทดแทนกันของสินค้าในระดับหนึ่ง
  2. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องกำหนดแผนส่งเสริมการเพาะปลูก (และเพาะเลี้ยง) ในช่วงฤดูฝนปี 2568 ไปจนถึงต้นปี 2569 โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการชะลอตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรนั้นๆ ตามข้อ 1 เพื่อป้องกันมิให้เกิดสถานการณ์สินค้าล้นตลาด และราคาตกต่ำตามมา
  3. กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ควรดำเนินการร่วมกันในติดตามและช่วยสนับสนุนสภาพคล่องของผู้ประกอบการค้าสินค้าเกษตร ที่อาจได้รับผลกระทบจากการส่งออกลดลงฉับพลัน (ในระยะต้น) และประสบปัญหาสินค้าคงค้างในสต็อกจำนวนมาก จนอาจกลายเป็นปัญหาในการรับซื้อสินค้าจากเกษตรกรได้ในระยะต่อไป
  4. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงสาธารณสุข ต้องเตรียมพร้อมในการควบคุมและตรวจสอบสินค้าเกษตรนำเข้าที่อาจจะทะลักมาจากประเทศที่ไม่สามารถส่งออกสินค้าเกษตรไปยังสหรัฐอเมริกาและระบายเข้ามายังประเทศไทยแทน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและข้อตกลงระหว่างประเทศ รวมถึงฝ่ายความมั่นคงตามแนวชายแดน ต้องระมัดระวังการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรอย่างผิดกฎหมาย
  5. รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศควรเจรจากับประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรชนิดเดียวกัน ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเหมือนกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางด้านราคาจนเกินสมควรในตลาดโลก เช่น ยางพารา กุ้ง ข้าว
  6. ในส่วนของมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งสหรัฐอเมริกาอาจยกมาต่อรองกับไทย รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุดมศึกษาฯ ควรร่วมมือกันในการเจรจากับองค์กรระหว่างประเทศ และประเทศอื่นๆ ที่มีมาตรฐานในลักษณะเดียวกับไทย เพื่อเตรียมความพร้อมทางเทคนิคในการเจรจา เพื่อคงรักษามาตรการที่จำเป็นในการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคและเกษตรกร
  7. ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องติดตามผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ ของสกุลเงินสำคัญต่างๆ หากมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อกระแสการค้าและการลงทุนระว่างประเทศ


หลักการสำคัญในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐอเมริกา 

เนื่องจาก สินค้าเกษตรเป็นสินค้าเป้าหมายที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการขยายการส่งออกของสหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้น รัฐบาลไทย โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุข ควรกำหนดหลักการสำคัญในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ในส่วนที่มีผลกระทบกับเกษตรกร ประกอบด้วย

  1. หลักการความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม การที่รัฐบาลจะนำสินค้าเกษตรตัวใดไปอยู่ในกรอบการเจรจากับสหรัฐอเมริกา รัฐบาลต้องแจ้งให้สาธารณชน องค์กรที่เกี่ยวข้อง และพี่น้องเกษตรกรทราบ รวมถึงเปิดให้เกษตรกรและองค์กรได้มีส่วนร่วมแสดงความเห็นก่อนการเจรจา
  2. หลักการประเมินผลกระทบตลอดห่วงโซ่อุปทาน การที่รัฐบาลจะนำสินค้าเกษตรไปเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการเจรจา ต้องพิจารณาและประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเจรจาต่อรองนั้น ในทุกๆ ส่วนของห่วงโซ่อุปทาน
  3. หลักการความปลอดภัย สหรัฐอเมริกาอ้างว่า ประเทศไทยมีมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (หรือ non-tariff barriers) มากกว่า 166 รายการ ซึ่งรายการเหล่านี้อาจตกเป็นเป้าหมายในการเจรจาต่อรอง ซึ่งการยกเว้น/ลดหย่อนมาตรการใด จำเป็นต้องตั้งอยู่บนหลักของความปลอดภัยของผู้บริโภคและเกษตรกรเป็นสำคัญ เช่น ไม่ควรอนุญาตให้นำเข้าเนื้อสัตว์ที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง เป็นต้น
  4. หลักการความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา โดยการเจรจากับสหรัฐอเมริกา ควรเน้นไปที่การนำเข้าเครื่องจักร/อุปกรณ์ทางการเกษตร ที่ประเทศไทยยังขาดแคลนและจำเป็นต้องใช้ และการวิจัยและพัฒนาในภาคการเกษตร เช่น การพัฒนาเกษตรแม่นยำ/เกษตรอัจฉริยะ การพัฒนาสินค้าเกษตรแปรรูปขั้นสูง ซึ่งจะช่วยให้ดุลการค้าของไทยและสหรัฐอเมริกามีความสมดุลมากขึ้น โดยเกษตรกรไม่ได้รับผลกระทบทางลบ


สรุป

การกำหนดมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ของสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการค้าสินค้านเกษตรของไทยและของโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้น จึงยากที่จะคาดการณ์ผลกระทบที่ชัดเจนได้ และการเตรียมความพร้อมในมาตรการรับมือทั้ง 7 ข้อ และการยึดมั่นในหลักการเจรจากับสหรัฐอเมริกาทั้ง 4 ข้อ จะเป็นแนวทางเบื้องต้น ในการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนในประเทศไทย ก่อนที่จะติดตามและประเมินสถานการณ์ที่ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง หลังจากมาตรการมีผลบังคับใช้จริง โดยเร็ว

บทความล่าสุด

วิกฤตราคาผลไม้ไทย: มะม่วงและลำไยราคาทรุด รัฐต้องเร่งช่วยเหลือก่อนเกษตรกรเดือดร้อนหนัก

นโยบาย Soft City : เพื่อการพัฒนาเทศบาลนครให้เป็นเมืองที่ “นุ่นนวล อ่อนโยน” และน่าอยู่ยิ่งขึ้น

(ร่าง) นโยบายสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตรสำหรับไร่อ้อย

ผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาต่อเกษตรกรและข้อเสนอมาตรการรับมือของรัฐบาลไทย

ความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการทำประมงปลากะตักด้วยเรืออวนล้อมจับโดยใช้แสงไฟล่อ (ตามมาตรา 69 ที่กำลังแก้ไข)

เรียนก็ไม่สนุก ให้ประยุกต์ใช้ก็ทำไม่เป็น : ความท้าทายของการเรียนคณิตศาสตร์ในประเทศไทย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า