“ชี้ช่องในงบ” ข้อเสนอของ สส. วรภพ เพื่อฟื้นฟูและปลดล๊อค SMEs และเศรษฐกิจท้องถิ่น


เดชรัต สุขกำเนิด
นาวิน โสภาภูมิ


ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญมรสุมรอบด้าน การบริหารจัดการงบประมาณของภาครัฐอย่างมีกลยุทธ์และตรงจุด กลายเป็นหัวใจสำคัญที่จะชี้ชะตาการฟื้นตัวของประเทศ ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.วบประมาณ 2569 ณ สภาผู้แทยราษฎร วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 สส.วรภพ วิริยะโรจน์ จากพรรคประชาชน ได้นำเสนอการวิเคราะห์ที่น่าสนใจ พร้อมข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่น่าคิด ผ่านการ “ชี้ช่องใช้งบ” เพื่อปลดล็อกศักยภาพเศรษฐกิจไทยที่ซบเซา บทความนี้ Think Forward Center นำข้อเสนอของ สส.วรภพ มาเรียบเรียงเพื่ออธิบายถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่กำลังฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย พร้อมเสนอแนวทางการบริหารงบประมาณภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อกระตุ้นการลงทุน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน อันจะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศ


ภาพรวมปัญหาเศรษฐกิจ: วังวนของการชะลอตัว

ปัญหาเศรษฐกิจที่ไทยกำลังเผชิญอยู่นั้น ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้าแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีรากฐานมาจากปัญหาภายในที่สะสมมานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การขาดการลงทุนของภาคเอกชน” และ “ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน” ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก



เมื่อภาคเอกชนขาดความเชื่อมั่นและไม่กล้าลงทุน สถาบันการเงินก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยกู้ โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการลงทุน ทำให้เม็ดเงินใหม่ๆ ไม่ถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้เงินไม่หมุนเวียน เกิดเป็น “วงจรเศรษฐกิจตกต่ำแบบวนลูป” ที่ยากจะหลุดพ้น ข้อมูลเชิงประจักษ์หลายประการสะท้อนภาพดังกล่าว:

  • การลงทุนภาคเอกชนติดลบ: แม้ GDP โดยรวมของไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ 2.5% แต่ก็ยังนับว่าต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน ปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งคือการลงทุนภาคเอกชนที่หดตัวลงถึง 1.6% และยังคงติดลบต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปีนี้ที่ 0.9% สะท้อนถึงภาวะที่การลงทุนภาคเอกชนซบเซาติดต่อกันนานถึง 1 ปีเต็ม
  • สินเชื่อในระบบธนาคารหดตัว: ภาพรวมสินเชื่อในระบบธนาคารก็มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน โดยในปี 2566 ลดลง 0.4% และในไตรมาสแรกของปีนี้ยิ่งน่ากังวลเมื่อติดลบถึง 1.3% ชี้ให้เห็นว่าสินเชื่อโดยรวมของประเทศกำลังหดตัวอย่างต่อเนื่อง
  • วิกฤตสินเชื่อ SMEs: กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) กำลังเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างยิ่ง โดยสินเชื่อ SMEs ใน 3 เดือนแรกของปีนี้ ติดลบสูงถึง 5.5% ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องจากปีก่อนหน้าที่ติดลบ 4.7% ภาวะการณ์เช่นนี้บีบคั้นให้ SMEs จำนวนมากต้องลดขนาดกิจการ หรือแม้กระทั่งปิดตัวลง เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้
  • ตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา: ยอดอนุมัติสินเชื่อบ้านใหม่ใน 3 เดือนแรกของปี 2568 ยังคงติดลบต่อเนื่องที่ 10% ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการหดตัว 13% ในปี 2567 สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ภาคเอกชนไม่กล้าลงทุนในโครงการใหม่ๆ เพราะสร้างแล้วขายไม่ได้ เนื่องจากผู้ซื้อไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อบ้านได้ ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังอุตสาหกรรมการก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง
  • อุตสาหกรรมยานยนต์ชะลอตัว: สินเชื่อรถยนต์ก็ยังคงติดลบอยู่ที่ 10.2% ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ติดลบไป 5% และกระทบต่อเนื่องไปยังภาคการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์


ทำความเข้าใจกลไก: ทำไมธนาคารไม่ปล่อยกู้? และรัฐจะช่วยได้อย่างไร?

วงจรเศรษฐกิจที่ตกต่ำนี้ มีหัวใจสำคัญอยู่ที่การที่สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยกู้ ซึ่งการใช้งบประมาณอย่างชาญฉลาดของภาครัฐสามารถเข้ามาช่วยปลดล็อกปัญหานี้ได้

โดยปกติแล้ว รัฐบาลสามารถใช้กลไกงบประมาณเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้สถาบันการเงินกล้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ผ่านเครื่องมือสำคัญ 2 ประการคือ:

  1. การค้ำประกันสินเชื่อ (Credit Guarantee): ผ่านหน่วยงานอย่าง บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยรัฐจะใช้งบประมาณสนับสนุนให้ บสย. เข้าไปค้ำประกันความเสี่ยงให้กับสถาบันการเงิน หากผู้กู้ (โดยเฉพาะ SMEs) ไม่สามารถชำระหนี้ได้ บสย. จะเป็นผู้ชดเชยความเสียหายส่วนหนึ่งให้ ทำให้สถาบันการเงินลดความกังวลและกล้าปล่อยกู้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากงบประมาณที่รัฐจัดสรรให้ บสย. มีจำกัด หรือเงื่อนไขการชดเชยความเสี่ยงไม่จูงใจเพียงพอ สถาบันการเงินก็จะยังคงลังเลที่จะปล่อยกู้ ดังที่เห็นในปัจจุบัน
  2. การอุดหนุนภาระดอกเบี้ย (Interest Subsidy): โดยเฉพาะสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย รัฐสามารถใช้งบประมาณเพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้กับผู้กู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการผ่อนชำระของผู้กู้ ทำให้สถาบันการเงินมั่นใจและอนุมัติสินเชื่อได้ง่ายขึ้น แต่หากงบประมาณในส่วนนี้น้อยเกินไป ก็จะไม่สามารถกระตุ้นตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ


สถานการณ์ปัจจุบันชี้ว่า การสนับสนุนจากภาครัฐในกลไกเหล่านี้ยังไม่เพียงพอ งบประมาณที่จัดสรรให้ บสย. และการอุดหนุนดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ได้อย่างเต็มที่ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น รัฐบาลยังคงมีภาระหนี้ที่ต้องชำระคืนให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (เช่น บสย. ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์) จากการค้ำประกันในอดีต แต่การตั้งงบประมาณเพื่อชำระคืนหนี้เหล่านี้กลับอยู่ในระดับต่ำมาก ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและความสามารถในการปล่อยสินเชื่อใหม่ของสถาบันเหล่านี้โดยตรง

“การใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นให้เกิดสินเชื่อเพื่อการลงทุน จึงเป็นการสร้างเม็ดเงินใหม่ๆ เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องและคุ้มค่ากับงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดครับ”

สส.วรภพ กล่าวชี้ประเด็น


ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย: ใช้จ่ายงบประมาณอย่างชาญฉลาด เพื่อเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง

นอกจากจะชี้ประเด็นปัญหาเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้างแล้ว สส.วรภพ ได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้การใช้งบประมาณเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญดังนี้:

  1. เพิ่มประสิทธิภาพกลไกสนับสนุนสินเชื่อเดิม:
    • เพิ่มงบประมาณให้ บสย. อย่างมีนัยสำคัญ: เพื่อให้ บสย. สามารถค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ได้ในวงเงินที่สูงขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงิน และช่วยให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น (ตัวอย่าง: งบประมาณ 100 บาทที่ให้ บสย. สามารถสร้างผลทวีคูณในการปล่อยสินเชื่อได้ถึง 700 บาท)
    • เพิ่มงบประมาณอุดหนุนดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย: เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในภาคอสังหาริมทรัพย์ และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง (ตัวอย่าง: งบประมาณ 100 บาทที่ใช้อุดหนุนดอกเบี้ย สามารถสร้างผลทวีคูณในการปล่อยสินเชื่อได้ถึง 840 บาท)
    • เร่งรัดการชำระหนี้คืนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ: เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับสถาบันเหล่านี้ และเพิ่มศักยภาพในการปล่อยสินเชื่อใหม่เข้าสู่ระบบ เช่น รัฐฐบาลยังค้างหนี้ บสย. อยู่ 73,000 กว่าล้านบาท แต่ในงบปี 69 ตั้งคืนหนี้เพียง 8,800 ล้านบาท ส่วนธนาคารออมสินที่ปล่อยทั้งสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อบ้าน รัฐยังค้างหนี้อยู่ 34,000 กว่าล้านบาท แต่ตั้งงบคืนเพียง 1,517 ล้านบาท และธนาคารอาคารสงเคราะห์ รัฐยังค้างหนี้อยู่ 6,900 กว่าล้านบาท แต่ตั้งคืนหนี้ 0 บาท นี่คือสาเหตุที่เงินทุนสำหรับกระตุ้นสินเชื่อมันน้อยลงตามไปด้วย

  2. ปลดล็อกศักยภาพท้องถิ่นด้วย “Matching Fund”:
    • ใช้ประโยชน์จากเงินสะสมท้องถิ่น: ปัจจุบัน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศมีเงินสะสมที่ยังไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์เป็นมูลค่ามหาศาล กว่า 330,000 ล้านบาท ถ้ามีการเติมงบประมาณเข้าไปสมทบกับการใช้เงินสะสมของท้องถิ่นตรงนี้ การลงทุนจะเกิดขึ้นได้รวดเร็วขึ้นและเกิดประโยชน์ 2 เด้ง คือ 
      • เด้งแรก: เร่งรัดให้เกิดการลงทุน: จะส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้นเร็วขึ้น การลงทุนของภาครัฐ 1 บาท จะเกิดผลทวีคูณทางเศรษฐกิจ 1.2 เท่า ดังนั้น ถ้าเราตั้งงบประมาณ 100 บาท ไปสมทบกับเงินสะสมของท้องถิ่นอีก 100 บาท จะเกิดผลทางเศรษฐกิจได้ถึง 240 บาท เป็นต้น 
      • เด้งที่สอง: พัฒนาคุณภาพชีวิต: เมื่อท้องถิ่นมีการเร่งรัดให้ใช้เงินสะสมมากขึ้น ก็สามารถทำบริการสาธารณะและการลงทุนที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้รวดเร็วขึ้น เช่น ท้องถิ่นอาจลงทุนปรับปรุงโรงผลิตน้ำประปาสะอาดตามนโยบายรัฐบาลได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องรองบประมาณประจำปีเท่านั้น
    • สร้างกองทุนสมทบ (Matching Fund): รัฐบาลควรจัดตั้งกองทุนสมทบ โดยหาก อปท. นำเงินสะสมมาลงทุนในโครงการพัฒนาต่างๆ รัฐบาลจะร่วมสมทบเงินลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสม (เช่น 1:1)

  3. ข้อเสนอแนะระยะยาว : พิจารณาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับ อปท.: เพื่อสนับสนุนการลงทุนในระดับท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน



โอกาสสุดท้ายในฟื้นฟูเศรษฐกิจที่รัฐบาลต้องเร่งลงมือ

การบริหารงบประมาณอย่างตรงจุดและตอบโจทย์ปัญหาที่แท้จริงของเศรษฐกิจ ถือเป็น “โอกาสสำคัญสุดท้าย” ที่จะช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามจนยากเกินเยียวยา การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกสนับสนุนสินเชื่อเดิมเพื่อสนับสนุน SMEs ควบคู่ไปกับการปลดล็อกศักยภาพของท้องถิ่นผ่าน Matching Fund จะเป็นการใช้จ่ายงบประมาณที่คุ้มค่า สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง และที่สำคัญที่สุดคือการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องแสดงความเชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ ด้วยการตัดสินใจเชิงนโยบายที่กล้าหาญและมองการณ์ไกล เพื่อนำพาประเทศไทยก้าวข้ามความท้าทายและกลับสู่เส้นทางการเติบโตที่เข้มแข็งอีกครั้ง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า