ก้าวไกลพร้อมรับมือวิกฤตน้ำปี 2567 สรุปบทสนทนาจากเสวนา “ก้าวไกลกับการจัดการน้ำปี 2567”

Think Forward Center


เนื่องจากในฤดูฝนของทุกปี พื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสานตอนล่างของประเทศไทยนั้นต้องประสบกับสถานการณ์อุทกภัยอยู่เสมอ แต่ในระยะหลังมานี้ ประเทศต้องพบกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งมากขึ้น ทั้งจากปรากฎการณ์เอลนีโญ (El-Nino) และลานีญา (La-Nina) ทำให้สถานการณ์อุทกภัยนั้นมีความรุนแรงมากขึ้น ในหลายพื้นที่ต้องใช้เวลามากกว่า 4 เดือนกว่าระดับน้ำจะลดลง 

ขณะเดียวกัน เมื่อเข้าสู่ฤดูแล้ง พื้นที่เดียวเหล่านี้ก็ประสบกับภาวะแล้งมาก ไม่มีน้ำเพียงพอต่อการทำการอุปโภคบริโภค หรือแม้แต่ทำการเกษตร ปัญหาในพื้นที่เดียวกันแต่เวลาก็ต่างประเด็นไปนั้นกำลังจะบอกเราว่า วันนี้ ท้องถิ่นในหลายพื้นที่ยังคงไม่สามารถจัดการกับการมาของน้ำ การกักเก็บน้ำ และการบริหารจัดการน้ำได้ 

เวทีเสวนา “ก้าวไกลกับการจัดการน้ำปี 2567” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ Sol Bar & Bistro อาคารอนาคตใหม่ จึงเป็นเวทีที่จะพาทุกคนมาพบกับ สส.พรรคก้าวไกล ที่อยู่ในคณะกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และคณะกรรมาธิการป้องกันสาธารณภัย รวมถึง สส. ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย มาวางนำเสนอแผนการดำเนินการว่า พวกเขาเหล่านี้มีแนวทางการเตรียมความพร้อมรับมือต่อการมีของอุทกภัยในพื้นที่ของตนอย่างไร โดยเสวนาในครั้งนี้ มีการแบ่งรูปแบบการเสวนาเป็น 3 ช่วงด้วยกันคือ 

  1. พื้นที่ต้นน้ำและกลางน้ำ ประกอบด้วย รภัสสรณ์ นิยะโมสถ สส.ลำปาง พรรคก้าวไกล คริษฐ์ ปานเนียม สส.ตาก พรรคก้าวไกล และกฤษฐ์หิรัญ เลิศอุฤทธิ์ภักดี สส.นครสวรรค์ พรรคก้าวไกล
  2. พื้นที่ปลายน้ำ ประกอบด้วย ทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สส.พระนครศรีอยุธยา พรรคก้าวไกล เจษฎา ดนตรีเสนาะ สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล และกิตติภณ ปานพรหมมาศ สส.นครปฐม พรรคก้าวไกล
  3. พื้นที่ราบสูงอีสาน ประกอบด้วย อิทธิพล ชลธราศิริ สส.ขอนแก่น พรรคก้าวไกล และณรงเดช อุฬารกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล



“การจัดการน้ำพื้นที่ต้นน้ำและกลางน้ำ ปี 2567: น้ำมาจะรีบตักอย่างไร?”


พื้นที่ต้นน้ำและกลางน้ำ กับภาวะความเสี่ยงน้ำท่วม

เสวนา เริ่มต้นด้วย รภัสสรณ์ นิยะโมสถ สส.ลำปาง พรรคก้าวไกล ได้เล่าถึงพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซากพื้นที่ทางใต้ของจังหวัดลำปาง ซึ่งมีแม่น้ำวังไหลผ่าน ประกอบด้วย อำเภอวังเหนือ อำเภอเกาะคา อำเภอเสริมงาม อำเภอสบปราบ อำเภอเถิน และอำเภอแม่พริก ซึ่งได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2566 ที่ผ่านมา 


ภาพ สส.รภัสสรณ์ ลงพื้นที่รับฟังปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ จ.ลำปาง


ขณะที่ คริษฐ์ ปานเนียม สส.ตาก พรรคก้าวไกล ได้อธิบายถึง ปัญหาแม่น้ำวังที่คดเคี้ยวและตื้นเขิน ทำให้เกิดปัญหาการระบายน้ำไปรวมกันที่แม่น้ำปิงเป็นไปได้ยากและช้า ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ปลายแม่น้ำวัง โดยมีพื้นที่สำคัญที่ต้องเฝ้าระวังคือ อำเภอสามเงา และอ.บ้านตาก ตอนบน 

กฤษฐ์หิรัญ เลิศอุฤทธิ์ภักดี สส.นครสวรรค์ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงผลกระทบของน้ำท่วมว่า หากปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับในปี 2554 จะส่งผลกระทบกับชาวนครสวรรค์ในวงกว้าง เนื่องจากพื้นที่นครสวรรค์นั้นเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำ 4 สายจากภาคเหนือ ได้แก่ แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน โดยเฉพาะบริเวณตลาดปากน้ำโพ ซึ่งเป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบหนักมากในปี 2554 ที่น้ำจากแม่น้ำ 4 สายทะลักเข้ามาพร้อมกัน


การเตรียมพร้อมรับมือในปี 2567

สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือวิกฤตอุทกภัยในปี 2567 นี้ กฤษฐ์หิรัญ กล่าวว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการตรวจวัดระดับน้ำทุกวัน เพื่อเตรียมประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อมทุกวัน ผ่านการนำข้อมูลที่ได้จากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) มาแจ้งเตือนภัยและประเมินสถานการณ์น้ำในพื้นที่

ในส่วนของ คริษฐ์ ได้กล่าวถึงการสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยว่า ในขั้นต้น ตนได้ประสานร่วมกับชุมชนในการตั้งกลุ่มไลน์ และทำการแจ้งข้อมูลอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการแปลข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็นภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจง่าย เพื่อให้ประชาชนทราบว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำเป็นอย่างไร ต้องเตรียมการอย่างไร และรวมถึงได้ประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเตรียมขุดลอกแม่น้ำวัง เพิ่มความจุในการรับน้ำ รวมถึงซ่อมแซมและขยายช่องทางระบายน้ำบริเวณปลายทางที่ลงสู่แม่น้ำปิง

เช่นเดียวกับ รภัสสรณ์ ที่อธิบายถึงการประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ปภ. อบจ. และเทศบาลต่างๆ ในการจัดเตรียมแผนงบประมาณเพื่อจัดการปัญหาน้ำท่วม เช่น การจัดทำแผนการทำคันดินและการจัดหาเครื่องสูบน้ำ รวมถึงค่าใช้จ่าย เช่น ค่าน้ำมันและค่าไฟฟ้า รวมถึงการเตรียมความพร้อมของชุมชน ผ่านระบบแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เช่น วิทยุตามสาย โทรศัพท์ไปหาผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงการสื่อสารผ่านกลุ่มไลน์


แนวทางในอนาคต

รภัสสรณ์ ให้ความคิดเห็นว่า สิ่งที่สำคัญคือ การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ เช่น สสน. และข้อมูลจากดาวเทียม เพื่อการวางแผนการจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ และควรต้องจัดทำแผนงบประมาณเพื่อการขุดลอกแม่น้ำและอ่างเก็บน้ำ รวมถึงซ่อมแซมประตูกั้นน้ำ และอ่างเก็บน้ำอย่างสม่ำเสมอ

ขณะที่ คริษฐ์ เสนอว่า อีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยตัดสินใจเปิด-ปิดประตูกั้นน้ำ โดยอิงจากข้อมูลจากระบบเซ็นเซอร์ และการวิเคราะห์ปริมาณน้ำฝน เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมพร้อมต่อการเปิด-ปิดประตูกั้นน้ำ

ก่อนจะจบลงที่ กฤษฐ์หิรัญ เสนอให้ ต้องมีการจัดเตรียมงบประมาณในการจัดรูปที่ดินและการเพิ่มพื้นที่ทางชลประทาน เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้อย่างเพียงพอและสามารถจัดการกักเก็บน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการส่งเสริมการปลูกพืชแบบเปียกสลับแห้ง เพื่อประหยัดน้ำและเพิ่มผลผลิตข้าวได้ ก็จะส่งผลให้เกิดการใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น



“การจัดการน้ำพื้นที่ปลายน้ำ ปี 2567: ทุ่งรับน้ำจะไม่รับกรรมอย่างไร?”


พื้นที่ปลายน้ำ กับสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา

ทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สส.พระนครศรีอยุธยา พรรคก้าวไกล เริ่มต้นด้วยการบอกเล่าถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ว่า หากพูดถึงชื่อ จังหวัดอยุธยา หลายคนอาจนึกถึงข่าวปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในทุกๆ ปี เนื่องจากอยุธยาเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำที่อยู่ใจกลางของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอบางบาล ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมของแม่น้ำ 2 สาย ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำน้อย ทำให้อำเภอบางบาลกลายเป็นจุดเปราะบางที่จะถูกน้ำท่วมไปก่อน นอกจากนี้ ยังถูกบีบจากนโยบายทางรัฐศาสตร์ ที่รัฐบาลจัดให้พื้นที่อำเภอบางบาลเป็นพื้นที่ “ทุ่งรับน้ำ” หรือพื้นที่สำหรับชะลอน้ำก่อนจะไปถึงยังพื้นที่เศรษฐกิจต่างๆ ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร 


ภาพ สส.ทวิวงศ์ และทีมงาน ลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วม
อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา


สำหรับปี 2565 ที่ผ่านมา สถานการณ์น้ำท่วมในอยุธยานั้นหนักกว่าเมื่อครั้งปี 2554 อย่างมาก เนื่องจากน้ำมาในปริมาณที่เพิ่มขึ้น และท่วมนานขึ้น ปกติชาวอยุธยานั้นจะเจอน้ำท่วมประมาณ 2 เดือนเท่านั้น แต่เมื่อปี 2565 กลายเป็นว่าท่วมนานถึงกว่า 4 เดือน ทำให้กว่าจะจัดการกับน้ำได้ก็กินเวลาไปจนถึงช่วงสิ้นปีแล้ว ทำให้ชาวบ้านต้องทนทุกข์ระกำลำบากมากก่อนที่จะได้ฉลองขึ้นปีใหม่ด้วยกัน

เจษฎา ดนตรีเสนาะ สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล กล่าวถึงพื้นที่ปทุมธานีว่า ปทุมธานีจะมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1-2 เมตร โดยปกติจะมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านประมาณ 30 กิโลเมตร โดยไหลผ่านพื้นที่กว่า 20 ตำบล และไหลผ่านบ้านเรือนกว่า 6,000 ครัวเรือน
นับจากปี 2554 ที่ผ่านมา รัฐบาลเลือกที่จะใช้แผนคันกั้นน้ำ โดยให้ถนนที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำมากที่สุดทำหน้าที่เป็นคันกั้นน้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้พื้นที่ที่อยู่ใกล้แม่น้ำทั้ง 2 ฝั่งต้องเจอกับน้ำท่วมทุกปี ถ้าปีไหนปริมาณน้ำที่มาจากทางเหนือเยอะ ทางท้องถิ่นนำกระสอบทรายมากั้นบริเวณริมถนน ชุมชนที่อยู่ริมน้ำเจ้าพระยาจะต้องเจอกับน้ำท่วมในปริมาณที่มากกว่าปกติ เช่น เมื่อปี 2538 ที่น้ำมาเยอะและท่วมไปทั่วทั้งจังหวัดปทุมธานี น้ำที่เข้าท่วมจะมีปริมาณแค่เข่าเท่านั้น ขณะที่เมื่อปี 2565 หลังจากท้องถิ่นนำกระสอบทรายมากั้นเป็นคันกั้นน้ำแล้ว พื้นที่นอกคันกั้นน้ำ ต้องเจอกับน้ำท่วมในปริมาณที่เกือบจะมิดหัวเลย ทำให้พื้นที่แถบนี้ได้รับผลกระทบที่หนักมากขึ้น และมีระยะเวลายาวนานมากเกือบ 6 เดือน 

กิตติภณ ปานพรหมมาศ สส.นครปฐม พรรคก้าวไกล กล่าวถึงพื้นที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ว่า ที่นี่เป็นพื้นที่ผันน้ำ เนื่องจากแม่น้ำท่าจีนที่ไหลผ่านเส้นทางนี้ จะเป็นพื้นที่คอยรองรับน้ำที่มาปริมาณมากเกินไปจากแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ทุกปี และด้วยเหตุนี้ทำให้พื้นที่อำเภอบางเลน ต้องคอยรับมือกับน้ำท่วมทุกปี จากการผันน้ำเข้ามาในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งภายหลังเข้ามารับหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็พบว่า การจัดการน้ำในพื้นที่อำเภอบางเลนยังมีหลายส่วนที่ต้องได้รับการแก้ไข

โดยปกติแล้ว แม่น้ำท่าจีน ถือเป็นพื้นที่รองรับการผันน้ำเพื่อให้น้ำไหลมาลงพื้นที่ตรงนี้ให้ได้มากที่สุดก่อนจะลงไปสู่อ่าวไทย แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะน้ำที่ถูกผันมาไม่มีคลองที่เป็นเส้นทางขยายทางผ่านน้ำ ทำให้เกิดน้ำท่วมขังทิ้งไว้ที่บริเวณอำเภอบางเลน และต้องรอประมาณ 3 เดือน กว่าน้ำจะลด ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ตำบลบางเลน ตำบลบางหลวง ตำบลบางระกำ และตำบลบางไส้ปลา ต้องรับมือกับน้ำท่วมที่ถูกผันมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา


การเตรียมพร้อมรับมือในปี 2567

ทวิวงศ์ กล่าวว่า เดิมทีชาวอยุธยาจะอาศัยการติดตามประกาศจากเขื่อนเจ้าพระยา ในจังหวัดชัยนาท หากมีประกาศออกมาว่า น้ำจะถูกปล่อยออกมาในปริมาณ 700 ลูกบาศก์เมตร ชาวบ้านก็จะเริ่มเตรียมตัวขนของขึ้นที่สูงแล้ว และถ้าระดับน้ำเพิ่มมาถึง 1,000 ลูกบาศก์เมตรแล้ว เขาจะขึ้นที่สูงทันที เนื่องจากรู้แล้วว่า น้ำจะเข้าท่วมบ้านของพวกเขาแน่นอน

สำหรับในปี 2567 นี้ การเตรียมความพร้อมรับมือน้ำท่วมของอยุธยา จะถูกแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก คือ ระยะเตรียมการ โดย ทวิวงศ์ จะประสานงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ ให้มีการแจ้งเตือนที่เร็วและทั่วถึงมากที่สุด เพื่อให้ประชาชนสามารถขนของขึ้นที่สูงได้เร็ว และทำให้ความเสียหายเกิดขึ้นน้อยลง ระยะต่อมา คือ ระยะที่น้ำมาแล้ว ทวิวงศ์ จะประสานงานเพื่อให้คูคลองและแม่น้ำสามารถพร่องน้ำออกได้เร็วขึ้น รับมือกับปริมาณน้ำที่จะมามากขึ้น เพื่อไม่ให้น้ำเอ่อเข้าท่วมบ้านเรือนในปริมาณมากเท่าเดิม หรือต้องท่วมค้างอยู่ในบริเวณบ้านเรือนเป็นเวลานานเกินไป

ขณะที่ เจษฎา อธิบายถึงแผนการรับมือสำหรับปี 2567 ว่า แม้สถานการณ์น้ำอาจไม่ได้ต่างจากเดิมมาก เนื่องจากนโยบายของกรมชลประทานยังคงใช้ถนนที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำเป็นแนวคันกั้นน้ำอยู่ ดังนั้น เจษฎา จะยังคงเดินหน้าติดตามข้อมูลดิบจากหน้าเว็บไซต์ สสน. และ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และแปรค่าออกมาเป็นกราฟเพื่อรายงานให้ประชาชนรับทราบผ่านทางเพจ หรือไลน์กลุ่ม เพื่อเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงเดินหน้าประสานงานเพื่อให้มีการติดตั้งเสา Staff Gauge แบบถาวร เพื่อใช้วัดระดับน้ำได้ตลอดโดยที่ไม่ผุพังไป


ภาพ Staff Gauge ในพื้นที่จ.ปทุมธานี ติดตั้งขึ้นหลัง สส.เจษฎา ประสานงาน


สำหรับพื้นที่อพยพ เจษฎา ได้ประสานกับวัดและโรงเรียนเทศบาลในพื้นที่ที่มีระดับต่ำมาก เช่น บริเวณเกาะลอย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นศูนย์อพยพ แต่การจะประกาศให้เปิดใช้พื้นที่วัดและโรงเรียนเป็นศูนย์อพยพ จะเปิดได้ก็ต่อเมื่อน้ำนั้นท่วมสูงถึง 3.20 เมตรแล้วเท่านั้น หรือสูงขึ้นมาจากตลิ่งเดิม 1.20 เมตร 

ก่อนที่ กิตติภณ กล่าวถึงการเตรียมรับมือน้ำท่วมว่า สำหรับพื้นที่อำเภอบางเลน มีการเตรียมรับมือระยะสั้นคือ การประสานงานร่วมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการจัดการน้ำ เช่น ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า สำนักงานชลประทานจังหวัด เพื่อออกแบบแนวทางในการรับมือกับน้ำที่จะมาในปี 2567 นี้ เนื่องจากที่ผ่านมา องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นไม่ได้มีโอกาสเข้ามาร่วมออกแบบแผนในการจัดการน้ำ ทำให้ที่ผ่านมาประสบปัญหาในการจัดการที่ทันท่วงที เช่น การเปิด-ปิดประตูกั้นน้ำ ซึ่งการนัดประชุมออกแบบแผนในเดือนสิงหาคมนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นในการทำงานร่วมกันเพื่อจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้


แนวทางในอนาคต

สำหรับแนวทางระยะยาวในอนาคต ทวิวงศ์ ให้ความคิดเห็นว่า การแก้ปัญหาทุ่งรับกรรมในพื้นที่อยุธยาจะต้องมีการวางแผนระยะยาว เช่น การตัดคลองใหม่เพื่อเป็นเส้นทางลัดในการระบายน้ำ โดยขณะนี้ รัฐบาลมีแผนจัดทำคลองบางบาล-บางไทร (จะแล้วเสร็จในปี 2570) เพื่อไม่ให้น้ำเข้าสู่ตัวเมืองอยุธยา ซึ่งเป็นทั้งแหล่งเศรษฐกิจและพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ แต่กระนั้น ประชาชนก็จำเป็นจะต้องติดตามโครงการนี้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว การขุดรอดคลองนี้จะช่วยให้เกิดการเร่งระบายน้ำได้ดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน เพราะการตัดคลองเพียงแค่ส่วนนี้ส่วนเดียวอาจไม่เพียงพอ

และเมื่อมีการตัดคลองเพิ่มแล้ว ก็จำเป็นจะต้องมีการติดตั้งประตูกั้นน้ำ เพื่อเร่งระบายในบางช่วงเหลือ เนื่องจากในพื้นที่อยุธยานอกจากเขื่อนเจ้าพระยาแล้ว ยังมีเขื่อนพระนครศรีอยุธยา ที่อยู่บริเวณอำเภอบางบาลด้วย

สำหรับ เจษฎา แล้ว แนวทางการจัดการในอนาคตที่ต้องเพิ่มเติมคือ 1) ศูนย์ข้อมูลน้ำในระดับจังหวัด เพื่อแปรข้อมูลจากตัวเลขมาเป็นข้อมูลเนื้อหาสำหรับการแจ้งเตือนชาวบ้านเพื่อให้เตรียมความพร้อมรับน้ำท่วม 2) ต้องมีการพูดคุยกับให้แน่ชัดถึงแนวทางการป้องกันน้ำท่วมว่าจะจัดการอย่างไร เช่น การใช้คลองธรรมชาติในการกักเก็บน้ำให้ได้มากขึ้น ซึ่งพื้นที่ปทุมธานีมีโครงข่ายคลองเยอะมาก และคลองเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่คลองเล็ก เช่น คลองเชียงรากใหญ่ ซึ่งเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาเดิม เป็นคลองที่มีขนาดกว้าง 70-100 เมตร และยาวประมาณ 17 กิโลเมตร แต่ไม่นำมาใช้ประโยชน์เลย ซึ่งที่ราชการยังไม่อยากให้มีการผันน้ำเข้าไปเส้นทางนี้ เนื่องจากเป็นคลองที่ใกล้กับพื้นที่ชุมชน แต่คลองเหล่านี้มีศักยภาพในการกักเก็บน้ำได้ประมาณนึง รวมถึงสามารถเอาไว้ใช้ยันน้ำเค็มที่จะหนุนสูงในบางช่วงเวลาได้

และส่วนที่ 3) หน่วยงานราชการควรทำการพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ เพื่อให้ทราบว่าพื้นที่ส่วนนี้เป็นส่วนที่จะต้องได้รับน้ำทุกปีแน่นอน และเมื่อต้องเป็นพื้นที่รับน้ำก็จำเป็นจะต้องมีการเตรียมงบประมาณไว้สำหรับ (ก) การรับมือกับน้ำท่วมในขั้นต้น เช่น การออกไปเช่าบ้าน การซื้อของปัจจัยยังชีพเบื้องต้น ระหว่างที่น้ำท่วม  (ข) การซ่อมแซมบ้านหลังน้ำลด (ค) การเยียวยาโรคระบาดที่มากับน้ำให้กับประชาชน หรือ (ง) หากไม่สามารถจ่ายเป็นรายบุคคลได้ ให้จ่ายเหมาทั้งชุมชนเพื่อให้ชุมชนไปบริหารจัดการเงินเยียวยาร่วมกันได้


ภาพ สส.กิตติภณ ลงพื้นที่เข้าช่วยเหลือน้ำท่วมใน อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม


ก่อนจบลงด้วย กิตติภณ ที่ให้ความคิดเห็นว่า การจัดการน้ำในพื้นที่นครปฐม ต้องออกแบบแผนการจัดการร่วมกันในหลายพื้นที่ที่แม่น้ำท่าจีนไหลผ่าน เช่น อำเภอสามพราน และอำเภอนครชัยศรี ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้เป็นลำน้ำที่มีความคดเคี้ยวคล้ายกับกระเพาะหมู ส่งผลให้การระบายน้ำเป็นไปได้ช้าลง โดยขณะนี้ สองอำเภอนี้มีแผนจะขุดรอกคูคลองให้เป็นเส้นตรงมากขึ้น เพื่อร่นระยะทางน้ำกว่า 40 กิโลเมตร และเร่งระบายน้ำออกสู่อ่าวไทยได้เร็วขึ้น



“การจัดการน้ำภาคอีสาน ปี 2567: โขงชีมูน ที่ร้อนไม่แล้ง ฝนไม่ท่วม”


พื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมในลำน้ำพอง

อิทธิพล ชลธราศิริ สส.ขอนแก่น พรรคก้าวไกล เริ่มต้นด้วย สถานการณ์ฝนในภาคอีสานปี 2566 ที่ผ่านมานี้ มาช้าลง แต่เมื่อเข้าสู่ปลายฤดูฝนกลับมีฝนในปริมาณมากขึ้น ทำให้ต้องมีการเตรียมการระบายน้ำล่วงหน้า เมื่อเขื่อนอุบลรัตน์ต้องปล่อยน้ำออกมา หากน้ำระบายไม่ทัน น้ำก็จะเข้าท่วมในพื้นที่ขอนแก่น หรือลำน้ำพอง และเมื่อลำน้ำพองไหลไปบรรจบกับลำน้ำชีจากชัยภูมิ ก็จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังมหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร และอุบลราชธานี และพื้นที่อื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำของเขื่อนอุบลรัตน์


สส.อิทธิพล ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม จ.ขอนแก่น


ขณะที่ ณรงเดช อุฬารกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จากพื้นที่ จ.สกลนคร ได้เล่าถึงสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ สกลนคร ในปี 2560 ซึ่งเกิดจากพายุดีเปรสชั่น 2 ลูกซ้อนทำให้พื้นที่นี้ต้องรับน้ำในปริมาณมากจนล้นหนองหาร และเข้าท่วมยังพื้นที่เทศบาลเมืองสกลนครสูงถึงเกือบ 3 เมตร ส่วนน้ำท่วมในปีที่ผ่านมา เกิดจากการพยากรณ์ปรากฏการณ์เอลนีโญที่ผิดพลาด โดยคาดว่า น้ำจะแล้งมากทำให้รีบเก็บน้ำเร็วเกินไป เมื่อฝนตกหนัก ปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้รวมกับน้ำที่มาใหม่ ทำให้เอ่อเข้าท่วมตัวเมืองสกลนคร 

แม้ว่าภายหลังปี 2560 โครงการบริหารจัดการน้ำจะเกิดขึ้นหลายโครงการ แต่เมื่อผ่านไป 7 ปี โครงการเหล่านี้ก็ยังไม่เสร็จสิ้น รวมถึงโครงการร่องช้างเผือกและการขุดลอกลุ่มน้ำกล่ำที่ยังคงมีปัญหา ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดอุทกภัยยังคงมีอยู่


การเตรียมพร้อมรับมือในปี 2567

ทั้ง อิทธิพล และณรงเดช ต่างเห็นตรงกันว่า จำเป็นต้องเน้นไปที่เรื่องของการจัดการบริหารน้ำในอ่างเก็บน้ำ โดยการพร่องน้ำไว้ล่วงหน้า เพื่อรอรับน้ำในช่วงปลายฤดูฝน ซึ่ง อิทธิพล เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำต่างๆ ก็ได้เตรียมพร่องน้ำไว้แล้วในระดับ 30-50% ของความจุอ่างเก็บน้ำแล้ว

ขณะที่ ณรงเดช เสนอให้มีการเตรียมความพร้อมและการบูรณาการการจัดการน้ำในพื้นที่ โดยการสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยผ่านกลุ่มไลน์และการแจ้งเตือนภัยผ่านสื่อสาธารณะ เช่น วิทยุชุมชน เป็นต้น


แนวทางในอนาคต

ณรงเดช และอิทธิพล ได้เน้นให้เห็นภาพถึงความจำเป็นในการทำอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กในระดับชุมชน องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเทศบาล เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการน้ำเองได้ ให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษาประตูน้ำและคลองส่งน้ำที่สร้างไว้เดิม และการล้างบ่อน้ำบาดาลเดิม เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้งานได้ รวมถึงต้องมีระบบในการส่งและกระจายน้ำให้กับเกษตรกรมากขึ้น

นอกจากนี้ ณรงเดช ยังมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า การใช้เทคโนโลยีช่วยตัดสินใจสำหรับการเปิด-ปิดประตูน้ำ โดยใช้ข้อมูลจากระบบเซ็นเซอร์และการวิเคราะห์ปริมาณน้ำฝน เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อมให้แม่นยำมากขึ้น จะเป็นอีกทางออกสำคัญสำหรับการบริหารจัดการน้ำในช่วงที่ฝนมีปริมาณมากขึ้นได้

กล่าวโดยสรุป การจัดการน้ำในภาคอีสานจำเป็นต้องมีทั้งระบบขนาดใหญ่และขนาดย่อยลงไปในแต่ละพื้นที่ โดการจะพัฒนาทั้งสองส่วนนี้ได้ จำเป็นจะต้องได้รับการจัดสรรทั้งงบประมาณ และความรู้ในการบริหารจัดการ เพื่อให้สามารถรับมือกับปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ก่อนจบเสวนาในครั้งนี้ คณะกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สภาผู้แทนราษฎร ได้แสดงวิสัยทัศน์ถึงการบริหารจัดการน้ำในสมัยสภาชุดที่ 26 นี้ว่า คณะกรรมาธิการจะเร่งดำเนินการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำในทุกระดับ เพื่อให้เกิดการผลักดันวาระที่สำคัญในการออกแบบระบบการติดตามสถานการณ์น้ำ ระบบเตือนภัย รวมถึงช่องทางการสื่อสารกับประชาชนที่หลากหลาย เพื่อรับมือปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเร่งรัดทำข้อมูลที่ต้องจำเป็นต่อการใช้งาน แต่ในปัจจุบันยังไม่มี เช่น ระบบน้ำบาดาลที่เสีย เป็นต้น 

ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องเกิดจากการผลักดันให้วาระการจัดงบประมาณเพื่อการจัดการน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำในการทำการเกษตรเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำของภาครัฐในปัจจุบัน เป็นงบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำเพียงร้อยละ 8 จากงบประมาณทั้งหมดเท่านั้น 

รวมถึง คณะกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สภาผู้แทนราษฎร ยังเชิญชวนให้ประชาชนผู้ติดตามประเด็นการบริหารจัดการน้ำเข้าร่วมสัมมนาเชิงวิชาการและการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับแผนการบริหารจัดการน้ำ โดย สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับประเทศและนานาชาติ ในช่วงวันที่ 25-26 กรกฎาคม 2567 นี้

ท้ายที่สุดนี้ พรรคก้าวไกล ยืนยันในการทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านเชิงรุกเพื่อให้เกิดการผลักดันแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง เพื่อความยั่งยืนของประชาชนอย่างแท้จริง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า