
เดชรัต สุขกำเนิด
Think Forward Center
ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีพื้นที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณหนึ่งในสามและเป็นพื้นที่ที่มีประชากรมากกว่าสองในสามอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีระดับต่ำกว่าน้ำทะเล การจัดการน้ำในประเทศเนเธอร์แลนด์จึงเป็นประเด็นที่มีความท้าทายต่อการสร้างสังคมและพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศมาตั้งแต่อดีตกาล แต่รูปแบบการผลิตการการตั้งถิ่นฐานและภัยคุกคามจากธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทำให้รูปแบบการจัดการน้ำของประเทศเนเธอร์แลนด์ย่อมต้องมีวิวัฒนาการไปตามปัจจัยที่เกี่ยวข้อง จนเกิดเป็นระบบการจัดการน้ำที่มีความซับซ้อนและครอบคลุมทั่วทั้งประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยความซับซ้อนที่ว่ามีทั้งความซับซ้อนในเชิงเทคนิคและความซับซ้อนในเชิงสถาบันหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ
บทความนี้จะเริ่มต้นกล่าวถึงพัฒนาการของความคิดและรูปแบบในการจัดการน้ำในประเทศเนเธอร์แลนด์โดยแบ่งคร่าวๆ ออกเป็นสี่ช่วงเวลา/สี่รูปแบบได้แก่
รูปแบบที่หนึ่ง คือการจัดการพื้นที่คันล้อม (polder) และแนวคันป้องกัน (dike)
รูปแบบนี้เป็นรูปแบบพื้นฐานของการทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ได้ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ชุมชน โดยการทำคันล้อม ที่มีระดับสูงรอบพื้นที่ ส่วนภายในพื้นที่ล้อมมีระบบคูคลองที่ละเอียดครอบคลุมทั่วพื้นที่ ระบบคลองเหล่านี้ทำหน้าที่ในการดึงน้ำออกจากพื้นที่ดินและมีคลองใหญ่อยู่นอกคันกั้นน้ำ และมีกังหันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ทำหน้าที่สำคัญในการสูบน้ำออกจากพื้นที่คันล้อม
เมื่อทำแบบนี้อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายปีต่อเนื่องกัน จะทำให้ระดับน้ำในพื้นที่ค่อยค่อยลดลงและถูกควบคุมโดยระบบระบบกรองและกังหันลม (ต่อมาเปลี่ยนเป็นระบบปั๊มสูบน้ำออกจากพื้นที่) จนทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีความพร้อมในการทำเกษตรกรรมและการตั้งถิ่นฐานของผู้คน

ภาพตัวอย่าง พื้นที่คันล้อม หรือ Polder ในเนเธอร์แลนด์
ปัจจุบันประเทศเนเธอร์แลนด์ยังมีพื้นที่คันล้อมแบบนี้มากกว่า 13,500 แห่ง พื้นที่คันล้อมเหล่านี้เกือบทั้งหมดดูแลโดยองค์กรจัดการน้ำระดับภูมิภาค 21 แห่ง ซึ่งในประเทศเนเธอร์แลนด์ องค์กรนี้เป็นองค์กรหลักในการดูแลและจัดการน้ำในแต่ละพื้นที่ (ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปในบทความที่สอง)
อย่างไรก็ดี รูปแบบการจัดการน้ำแบบนี้มีความเหมาะสมในการจัดการพื้นที่ที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เมื่อระดับน้ำยกตัวสูงขึ้นก็มีคันกันล้อมป้องกันน้ำท่วมที่จะเข้าสู่พื้นที่ภายในคันล้อม และการจัดการพื้นที่ในสภาวะปกติคือเมื่อมีฝนก็สูบน้ำออก แต่เมื่อต้องมีการเผชิญกับภัยคุกคามทางธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น รูปแบบการจัดการน้ำจึงจำเป็นจะต้องมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้นซึ่งจะได้กล่าวถึงในรูปแบบต่อไป
รูปแบบที่สอง การสร้างการป้องกันขนาดใหญ่ (dike)
การสร้างคันป้องกันขนาดใหญ่เกิดจากแนวความคิดในการป้องกันภัยธรรมชาติหรือพายุ และคลื่นพายุที่มาทางทะเลจากทะเลเหนือ พัดเข้ามาสู่พื้นที่ที่เคยเรียกกันว่าทะเลใต้ และเข้าสู่พื้นที่ใจกลางของประเทศทำให้เกิดน้ำท่วมในบริเวณใกล้ๆ กลับกรุงอัมสเตอร์ดัม ทำให้เกิดแนวคิดในการที่จะปิดกั้นทะเลใต้จากทะเลเหนือเพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่เกิดจากคลื่นพายุกระทบฝั่งในทะเลเหนือ
แนวคิดนี้จึงดำเนินการโดยการสร้างคันป้องกันขนาดใหญ่ เรียกชื่อว่า Afsluitdijk เพื่อปิดกั้นทะเลใต้จากทะเลเหนือและเปลี่ยนสภาพทะเลใต้จากทะเลเปิดให้กลายเป็นทะเลสาบเปลี่ยนสภาพน้ำจากที่เป็นน้ำทะเลให้กลายเป็นน้ำจืดโครงการนี้ใช้เวลาหลายปีในการก่อสร้าง (ระหว่างปี ค.ศ. 1927-1932) จนแล้วเสร็จ และเมื่อแล้วเสร็จแล้วและมีสภาพเป็นน้ำจืดแล้ว (และเปลี่ยนชื่อจากทะเลใต้ เป็นทะเลสาบ Ijsselmeer ทางเนเธอร์แลนด์ก็ทำโครงการในการจัดทำพื้นที่คันล้อมที่จะเอาน้ำออกจากพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความลึกของน้ำไม่มากให้กลับมาเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ชุมชนเมืองจนกลายมาเป็นจังหวัดใหม่จังหวัดที่ 12 ของประเทศเนเธอร์แลนด์ (ชื่อว่าจังหวัด Flevoland)

ภาพ คันป้องกันขนาดใหญ่ ที่ชื่อว่า Afsluitdijk
ภาพจาก https://www.lagersmit.com/blog/how-the-afsluitdijk-barrier-dam-keeps-the-netherlands-safe
การจัดการน้ำในรูปแบบนี้ได้ทำให้ภัยคุกคามที่มาจากทะเลเหนือลดน้อยลงอย่างมาก และยังได้พื้นที่การเกษตรและชุมชนเพิ่มมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ก็สร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงนิเวศวิทยาขนานใหญ่ ทั้งการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพและปัญหาในเชิงคุณภาพน้ำอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนจากสภาพทะเลเปิดที่มีน้ำไหลเวียน มาเป็นแหล่งน้ำที่ปิดที่มีสภาพนิ่ง
จนกระทั่งต่อมา ชาวเนเธอร์แลนด์และรัฐบาลเนเธอร์แลนด์จึงมีการทบทวนแผนการดำเนินการบางส่วนที่ยังไม่ได้ดำเนินการและตัดสินใจยุติการดำเนินการเพื่อมีให้เกิดผลกระทบเพิ่มเติมในพื้นที่รวมถึงต่อมาได้มีความพยายามในการพัฒนาระบบนิเวศตามธรรมชาติให้กลับมา
นอกเหนือจาก คันกั้นน้ำขนาดใหญ่ที่เรียกว่า dike แล้ว พื้นที่ตามแนวชายหาดยังมีเนินทรายขนาดสูงที่เรียกว่า Dune ทำหน้าที่เป็นการป้องกันตามแนวชายหาด ซึ่งมีความสำคัญมาก และในประเทศเนเธอร์แลนด์จะมีการดูแลแนวเนินทรายชายหาดอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงมีการเติมทรายเข้าไปในบางพื้นที่ เพื่อรองรับกับทรายที่อาจถูกกัดเซาะหรือลงไปในทะเล รวมถึงเพื่อเสริมความเข้มแข็งในการป้องกันคลื่นพายุจากทะเลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
รูปแบบที่สาม การทำประตูกั้นปากแม่น้ำ
แนวคิดในการทำประตูกั้นปากแม่น้ำมีความคล้ายคลึงกับแนวคิดของการทำคันป้องกัน นั่นคือการป้องกันพายุคลื่นทางทะเลที่เข้ากระแทกฝั่ง (หรือ storm surge) แนวคิดนี้เกิดขึ้นภายหลังจากอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเนเธอร์แลนด์ เมื่อปีค.ศ. 1953 ซึ่งเกิดจากพายุคลื่นกระแทกฝั่ง ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,800 คน นำมาสู่แนวความคิดในการปิดกั้นปากแม่น้ำในพื้นที่ตอนใต้ของประเทศเนเธอร์แลนด์
เพียงแต่ว่า การปิดกั้นในบริเวณปากแม่น้ำมีความจำเป็นที่จะต้องให้น้ำจืดและเค็มไหลเวียนซึ่งกันและกัน และจำเป็นจะต้องให้สัตว์น้ำเคลื่อนย้ายเข้าและออกสู่/จากแม่น้ำตามธรรมชาติ รวมถึงในบริเวณปากแม่น้ำไรน์ ยังเป็นสถานที่ตั้งของท่าเรือร็อตเตอร์ดัม ซึ่งเป็นท่าเรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ซึ่งมีเรือเข้าออกตลอดเวลา (เฉลี่ยวันละกว่า 300 ลำ) จึงไม่สามารถปิดกั้นลำน้ำแบบถาวรได้
เพราะฉะนั้น การทำประตูกั้นปากแม่น้ำจึงมีวัตถุประสงค์สำคัญที่แตกต่างจากการทำคันป้องกัน (รูปแบบที่สอง) คือ การทำประตูกั้นปากแม่น้ำจะต้องมีการปิดเปิดให้น้ำ สิ่งมีชีวิต และเรือสามารถผ่านประตูกั้นน้ำมายังแม่น้ำตอนในและจากตอนในออกสู่ทะเลได้
การทำประตูกั้นปากแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่ และต้องรับแรงกระแทกมหาศาลจากคลื่นทางทะเล รวมถึงจำเป็นต้องปิดเปิดได้ตามรูปแบบที่ออกแบบไว้เป็นเรื่องที่มีความท้าทายทางวิศวกรรมอย่างมากจนทำให้โครงการที่ทำประตูกั้นปากแม่น้ำทั้งหมดที่เรียกว่า เดลต้าเวิร์ค กลายเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมของโลกยุคใหม่
ในระบบเดลต้าเวิร์คมีรูปแบบการกั้นประตูปากแม่น้ำและแม่น้ำสาขาอยู่หลายรูปแบบ โดยจะขอแบ่งเป็นสองรูปแบบใหญ่ใหญ่คือ
- รูปแบบที่หนึ่งเป็นประตูน้ำที่มีลักษณะปิดเป็นหลัก และเปิดให้น้ำระบายผ่านช่องประตูน้ำ เช่นที่ Haringvlietdam ซึ่งเป็นเขื่อนที่มีบานประตูน้ำ 17 บาน ระยะความยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ส่วนเรือหรือสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่จะมีช่องผ่านพิเศษที่เรียกว่า ล็อค
- รูปแบบที่สองจะเป็นรูปแบบที่มีลักษณะเปิดเป็นหลัก หมายความว่าประตูกั้นน้ำที่มีจะกั้นน้ำเพียงเฉพาะช่วงเวลาที่มีคลื่น พายุทางทะเลเข้ามากระทบกับฝั่งเท่านั้น ซึ่งในรูปแบบที่สองก็คือประตูปิดปากแม่น้ำไรน์ซึ่งเป็นทางเข้าของท่าเรือร็อตเตอร์ดัม ที่เรียกว่า Maeslantkering (จะอธิบายรายละเอียดในบทความที่ 3)

ภาพ ประตูปิดปากแม่น้ำไรน์ Maeslantkering Storm Surge Barrier (ขณะกำลังปิด ยังปิดไม่สนิท)
ภาพจาก https://www.amusingplanet.com/2014/04/the-netherlands-impressive-storm-surge.html
โครงการเดลต้าเวิร์คทั้งหมดเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในปี 1997 จากวันที่มีการใช้งานมาแล้ว 27 ปี มีเหตุการณ์พายุคลื่นจากทะเลที่ทำให้ต้องปิดกั้นปากแม่น้ำทั้งหมด จำนวน 3 ครั้ง (ครั้งสุดท้ายในปี 2023) ซึ่งแต่ละครั้ง พายุจากทะเลเหนือมีความรุนแรงมาก จนสามารถสร้างสร้างความเสียหายในวงกว้าง (เช่น คาดว่าจะทำให้เกิดน้ำท่วมประมาณ 40% ของพื้นที่ในประเทศ หากไม่มีโครงการเดลต้าเวิร์คที่ปิดกั้นปากแม่น้ำเอาไว้)
ปัจจุบัน โครงการเดลต้าเวิร์คพยายามปรับปรุงระบบการเปิด/ปิดปากแม่น้ำให้กลับมาใกล้เคียงกับระบบนิเวศทางธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เพราะความแตกต่างของระบบนิเวศปากแม่น้ำเมื่อมีการปิดปากแม่น้ำเทียบกับระบบนิเวศตามธรรมชาติจะมีค่าความเค็มและการขึ้นลงของน้ำที่แตกต่างจากธรรมชาติ และส่งผลกระทบอย่างมากต่อความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศดังกล่าว เพราะฉะนั้นปัจจุบันโครงการเดลต้าเวิร์คพยายามปฏิบัติการให้ระดับความเค็มของน้ำและระดับการขึ้นลงของน้ำใกล้เคียงกับธรรมชาติมากขึ้น
รูปแบบที่สี่ การขยายพื้นที่แม่น้ำ และทางออกเลียนแบบธรรมชาติ
เมื่อเข้าสู่ช่วงศตวรรษที่ 21 ภัยคุกคามทางน้ำจากทะเลเหนือ สามารถอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ (จากรูปแบบที่สองและสาม) แต่ประเทศเนเธอร์แลนด์กำลังประสบกับภัยคุกคามใหม่สองประการนั่นคือ ปริมาณน้ำในแม่น้ำสำคัญเช่นแม่น้ำไรน์ แม่น้ำมาส เพิ่มมากขึ้น (ต้นน้ำอยู่บริเวณเทือกเขาแอลป์) จนกลายเป็นอุทกภัยที่มาจากลำน้ำ (แทนที่จะเป็นทะเล) และความแห้งแล้งที่เกิดขึ้นในบางฤดูร้อน ทั้งสองภัยคุกคามนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้การละลายของหิมะจากเทือกเขาแอลป์ มีเพิ่มขึ้น และทำให้เกิดฝนทิ้งช่วงในบางฤดูร้อน
เมื่อเป็นเช่นนี้ รูปแบบการจัดการน้ำที่เคยมีจึงไม่สามารถตอบโจทย์ท้าทายใหม่ใหม่ได้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์จึงจำเป็นต้องคิดกลไกในการรับมือกับน้ำใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายแนวคิด โดยหลักๆ อาจแบ่งได้เป็น 4 แนวคิด
- การขยายพื้นที่ลำน้ำ ให้สามารถรับน้ำได้มากขึ้น หรือที่เรียก rooms for the river ซึ่งมีการดำเนินการในลำน้ำใหญ่ที่รับน้ำโดยตรงจากเทือกเขาแอลป์ แนวคิดดังกล่าวเริ่มต้นจากการเวนคืนพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ชุมชนริมแม่น้ำเพื่อขยายแนวเขตของแม่น้ำและทำคันกั้นน้ำใหม่สองฝั่งลำน้ำให้สูงขึ้น การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้เกิดพื้นที่ที่อยู่ระหว่างแนวคันกั้นน้ำเดิมซึ่งมีระดับต่ำกับแนวคันกั้นน้ำใหม่ซึ่งมีระดับสูง พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่จะเป็นพื้นที่ดินในยามปกติ แต่เมื่อระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้นพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นพื้นที่ลำน้ำ เพื่อช่วยให้แม่น้ำระบายน้ำได้ดียิ่งขึ้น
- การกักเก็บน้ำ ในอดีตอาจกล่าวได้ว่าประเทศประเทศเนเธอร์แลนด์ไม่เคยประสบกับปัญหาภัยแล้ง เพราะฉะนั้นเมื่อมีน้ำอยู่ในพื้นที่ใดๆ เช่น พื้นที่เกษตรกรรม เกษตรกรชาวเนเธอร์แลนด์ก็จะมีการสูบน้ำออกจากพื้นที่เพื่อระบายน้ำ แต่ปัจจุบันรัฐบาลเนเธอร์แลนด์จำเป็นต้องกระตุ้นให้พี่น้องเกษตรกรและผู้อยู่อาศัยทั่วไปทำการเก็บสำรองน้ำเอาไว้ใช้หากเกิดภัยแล้งที่คาดเดาได้ยากเกิดขึ้น
- การอยู่ร่วมกับน้ำ ปัจจุบันเริ่มมีแนวคิดในการทำชุมชนที่สามารถอยู่ร่วมกับน้ำ คือสามารถทำให้บ้านเรือนที่พักอาศัยขึ้นลงตามระดับน้ำได้ ในขณะเดียวกันก็มีคุณภาพชีวิตอื่นๆ เช่น การเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าน้ำประปาและอื่นๆ ไม่แตกต่างจากชุมชนที่อยู่บนพื้นดินปกติ เช่นที่ Schoonschip ในกรุงอัมสเตอร์ดัม อย่างไรก็ดีแนวความคิดดังกล่าวยังถือเป็นขั้นการทดลองเพียงแต่เป็นการทดลองที่สำคัญ ซึ่งอาจกลายเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในอนาคต
- การใช้ทางออกที่เลียนแบบธรรมชาติ หรือ Nature-based solutions ปัจจุบันรัฐบาลเนเธอร์แลนด์พยายามนำแนวคิดนี้มาใช้ในการจัดการน้ำมากขึ้นเรื่อยเรื่อย เช่น
- การสร้างเกาะเทียม (บริเวณ Zandmotor Beach) เพื่อให้เกิดจุดสะสมทรายและกระจายทรายทรายเพื่อเติมแนวสันทรายชายหาด ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันคลื่นพายุจากทะเลตามรูปแบบที่สอง
- การเติมเกาะคล้ายธรรมชาติเข้าไปในทะเลสาบเทียม เช่น Marker Wadden เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในทะเลสาบเทียมและปรับปรุงคุณภาพน้ำตามกลไกของธรรมชาติ
- การปรับปรุงแม่น้ำให้มีลำน้ำสาขาที่สามารถควบคุมปริมาณการไหลของแม่น้ำได้ เพื่อที่จะสามารถควบคุมระดับน้ำในแม่น้ำสายหลัก (คือปิดไม่ให้น้ำไปสู่ลำน้ำสาขา) ให้เพียงพอสำหรับการขนส่งทางน้ำในช่วงเวลาที่เกิดฤดูแล้ง

ภาพ โครงการขยายพื้นที่ลำน้ำ หรือ Room for the River project ที่เมือง Nijmegen เนเธอร์แลนด์
อย่างไรก็ดี แนวความคิดในรูปแบบที่สี่ ยังถือว่าใหม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับแนวความคิดที่ได้ดำเนินการแล้วหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีในรูปแบบที่หนึ่งถึงรูปแบบที่สาม แต่ก็เป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นว่า ชาวเนเธอร์แลนด์ ไม่ว่าในยุคสมัยใด ไม่เคยหยุดคิดและไม่เคยย่อท้อ ต่อการรับมือกับภัยคุกคามใหม่ๆ โดยไม่รอช้า
สรุปบทเรียนสำหรับประเทศไทย
แน่นอนว่า พัฒนาการทางเทคโนโลยีในการจัดการน้ำของเนเธอร์แลนด์เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก แต่แนวคิดสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเทคโนโลยีเหล่านี้ ที่ต้องเน้นย้ำยังมีอีก 4 ประการคือ
- แม้ว่าเราจะพยายามปรับตัวรับมือกับธรรมชาติได้ดีเพียงใด (ในแต่ละช่วงเวลา) ธรรมชาติก็ยังเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และมีแนวโน้มที่จะเป็นภัยคุกคามที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ละสังคมจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือ และมีพัฒนาการในการรับมืออยู่เสมอ โดยไม่หยุดนิ่งกับความสำเร็จที่ผ่านมาในอดีต ปัจจุบันนี้ เนเธอร์แลนด์เองก็ได้เริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับการรับมือภัยคุกคามในอีก 100 ปีข้างหน้า
- ขณะเดียวกัน ไม่ว่าการเตรียมความพร้อมรับมือล่วงหน้าจะทำได้ดีและมองการณ์ยาวไกลเพียงใด สังคมมนุษย์ก็พร้อมเผชิญสิ่งที่ไม่คาดฝันอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น ระบบการจัดการน้ำของเนเธอร์แลนด์จึงต้องมีกรอบการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่นหรือ Adaptive management framework และพร้อมปรับแผนการดำเนินงานให้เหมาะสมตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
- สิ่งที่ยากที่สุดในการจัดการน้ำ มิใช่เทคโนโลยีที่มหัศจรรย์ แต่เป็นการตกผลึกในการยอมรับร่วมกันในสังคม เพราะทุกการจัดการน้ำที่ได้กล่าวถึงมา ล้วนส่งผลดี และผลเสียสำหรับคนแต่ละกลุ่มแตกต่างกัน เช่น ชาวประมงได้รับผลกระทบทางลบอย่างรุนแรงจากการปิดกั้นทะเลใต้ และปากแม่น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคมเนเธอร์แลนด์ที่เน้นเรื่องการหาฉันทามติร่วมกัน เพราะฉะนั้น การตัดสินใจแต่ละครั้งจึงใช้เวลาในการถกแถลงกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้ทางเลือกที่ทุกคนยอมรับได้ และดูแลผลกระทบร่วมกันอย่างดี
- นอกจากจะใช้เวลานานในการถกแถลงจนตกผลึกร่วมกัน การก่อสร้างโครงการต่างๆ ของเนเธอร์แลนด์ยังใช้เวลานานด้วย เพราะฉะนั้น การมีกรอบงบประมาณและการได้มาของเงินลงทุนที่ชัดเจนและแน่นอนในการดำเนินการ ขณะเดียวกัน ก็สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้เพียงใด และสามารถเรียนรู้และปรับเปลี่ยนได้ตามกรอบการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ในการดำเนินการ และกลายเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้แผนที่มีระยะเวลาดำเนินการก่อสร้างยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษสำเร็จได้ในที่สุด