ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่เมือง: กรณีศึกษา จังหวัดนนทบุรี

เดชรัต สุขกำเนิด

ประเด็นสิ่งแวดล้อมระดับโลกในปัจจุบันมี 2 เรื่องที่สำคัญและวิกฤติไม่แพ้กันคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ในเมืองไทยดูเหมือนว่า การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพกลับได้รับความสนใจไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมากมาแต่เดิม และปัจจุบันก็กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงเช่นเดียวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

หนึ่งในสมมุติฐานที่อาจจะทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพยังไม่เป็นโจทย์หรือเป็นประเด็นทางสังคมมากนัก คือ การขาดมิติเชิงนโยบายที่ชัดเจน ต่างจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีประเด็นหรือมาตรการในเชิงนโยบายเช่น การกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเก็บภาษีคาร์บอน หรือการขายคาร์บอนเครดิต ทำให้ผู้คนในสังคมมองภาพของปฏิบัติการที่ตนจะเกี่ยวข้อง (ทั้งเห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย) ได้ชัดเจนกว่าความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งยังไม่มีมาตรการเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรม

วันนี้ผมชวน คุณธีรยุทธ ลออพันธ์พล ผู้ก่อตั้ง บริษัท สาระพันปันสุข วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด จากทีม EcoRest ซึ่งเป็นทีมประเมินความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ของเอกชน  คุณปอ ชุมพล จันทรคุปต์ แห่ง  Groove & Glamping : Cafe & SpeakEasy และ อ. เลิศมงคล วราเวณุชย์ ผู้สมัครนายก อบจ. นนทบุรี มาพูดคุยเรียนรู้ร่วมกันเรื่อง ความหลากหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่เมือง เพื่อที่จะพัฒนาแนวนโยบายสำหรับการรักษาและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่เมืองสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย


การประเมินความหลากหลายทางชีวภาพ

คุณธีรยุทธ เล่าให้ฟังว่า ทีม EcoRest เริ่มเข้าไปประเมินความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในปี พ.ศ. 2561 เพื่อให้เจ้าของที่ดินทราบถึง “คุณค่า” ของทรัพยากรชีวภาพ ทั้งพืชและสัตว์ที่มีอยู่ในพื้นที่ ซึ่งเจ้าของที่ดินอาจไม่เห็น/ไม่ทราบ ทำให้เจ้าของที่ดินที่ทราบแล้วจะสามารถออกแบบการดูแลรักษาความหลากหลายทางชีวภาพไว้ได้ หรืออาจจะต่อยอดเป็นโปรแกรมการท่องเที่ยว/การเรียนรู้ได้อีกด้วย

รูปแบบการทำงานของทีม EcoRest ทั้งการประเมินต้นไม้ และสัตว์ แบ่งการประเมินเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่

  • การประเมินต้นไม้ จะมีการวัดเส้นผ่าศูนย์กลางระดับอก (ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเกิน 15 เซนติเมตรขึ้นไป) ความสูง ความกว้างเรือนยอด โดยหากเป็นพื้นที่ไม่ใหญ่นักจะทำการสำรวจประชากรต้นไม้ทั้งหมด แต่ในพื้นที่ที่มีบริเวณกว้างใหญ่การสำรวจจะเป็นลักษณะของการสุ่มตัวอย่าง
  • การประเมินสัตว์แบบระยะสั้น คือ การตั้งแคมป์สำรวจประมาณ 4 วัน 3 คืน ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของปี โดยสำรวจสัตว์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก สัตว์น้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน แมลง และสัตว์ใต้ดิน
  • การประเมินสัตว์แบบครบทุกฤดูกาล คือการตั้งแคมป์สำรวจ 3 วัน 2 คืน ทั้งหมด 6 ครั้ง ต่อปี (เดือนเว้นเดือน) เพื่อให้ครอบคลุมสัตว์อพยพตามฤดูกาลด้วย

คุณธีรยุทธเล่าว่าความยากง่ายของงานจะอยู่ที่ (ก) ความยากง่ายในการเข้าถึงพื้นที่ หรือต้นไม้แต่ละจุด ซึ่งอาจมีอุปสรรคเช่นเป็นพื้นที่น้ำขัง หรือมีสัตว์มีพิษอาศัย และ (ข) ความกว้างขวางของพื้นที่ หรือความหนาแน่นของต้นไม้ในพื้นที่ ซึ่งจะมีผลต่อปริมาณงานในการสำรวจต้นไม้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการออกแบบการทำงานจึงจำเป็นต้องเข้าไปประเมินความเหมาะสมและความยากง่ายในแต่ละพื้นที่ก่อน

แต่การสำรวจของทีม EcoRest จะไม่ได้หยุดเพียงแค่การสำรวจให้ทราบชนิดและปริมาณของสิ่งมีชีวิตในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังผูกโยงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในห่วงโซ่อาหารตามระบบนิเวศของพื้นที่นั้นๆ ด้วย และทีมยังระบุถึงลำดับของสถานะความหายาก (หรือ สถานะความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์) ของพืชและสัตว์ที่พบในพื้นที่ ทั้งในเชิงความหายากในระดับท้องถิ่นและความยากในระดับโลก



การรักษา/เพิ่มพูนความหลากหลายทางชีวภาพ

จากผลการประเมินความหลากหลายทางชีวภาพ เมื่อเจ้าของที่ดินทราบถึง (ก) สปีชีส์และชนิดพันธุ์ที่พบพื้นที่ของตนเอง (ข) ความสัมพันธ์โยงใยของระบบนิเวศของสปีชีส์และชนิดพันธุ์ต่างๆ (ค) ความหายากของสปีชีส์และชนิดพันธุ์ที่พบภายในพื้นที่ และ (ง) จุดหรือตำแหน่งที่พบความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญในพื้นที่ เจ้าของที่ดินจะสามารถนำไปใช้ในการออกแบบและวางแผนการพัฒนาพื้นที่เพื่อให้รักษาความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญของพื้นที่นั้นเอาไว้ให้ได้

คุณธีรยุทธบอกว่า แม้ว่าทางทีมจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการออกแบบและการวางแผนของเจ้าของที่ดินแปลงนั้นๆ แต่ทางทีมก็จะให้คำแนะนำในการดูแล และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อให้เจ้าของที่ดินได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการออกแบบและวางแผนการใช้ที่ดินของตนต่อไป


การต่อยอดการเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพ

ไม่เพียงแค่นั้น คุณธีรยุทธและทีมยังเคยมีประสบการณ์ในการออกแบบโปรแกรมการเรียนรู้ในพื้นที่อนุรักษ์ เช่น ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) สมุทรปราการ ทำให้คุณธีรยุทธสามารถนำผลการประเมินความหลากหลายทางชีวภาพมาต่อยอดเป็นโปรแกรมและเส้นทางการเรียนรู้ สำหรับผู้ที่เข้ามาท่องเที่ยวและเรียนรู้ภายในพื้นที่สถานที่ท่องเที่ยวได้ด้วย โดยได้เริ่มต้นดำเนินการเป็นที่แรกที่จังหวัดเพชรบุรี

ในวันที่เราคุยกันที่ ป่าก์คาเฟ่ จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างของพื้นที่สวนทุเรียนดั้งเดิม ที่ถูกน้ำท่วมจนสวนทุเรียนเสียหาย และมีพืชพรรณอื่นๆ เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความหลากหลายทางชีวภาพจำนวนมาก ซึ่งคุณธีรยุทธ ก็ได้ยกตัวอย่างว่า หากมีการประเมินความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว ก็สามารถสร้างเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ เช่น ให้ลูกค้าไปหาต้นไม้/สัตว์ชนิดต่างๆ ในสวน แล้วมาแลกขนม/ของที่ระลึกจากทางร้านได้

นอกเหนือจากการพัฒนาโปรแกรมการเรียนรู้ในแต่ละพื้นที่แล้ว การเรียนรู้เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพยังสามารถต่อยอดเป็นการเรียนรู้ข้ามพื้นที่ ผ่านแนวคิด “วิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง” ซึ่งเชิญชวนผู้คนให้มาสำรวจ เรียนรู้ และแลกเปลี่ยนข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพที่ได้ค้นพบร่วมกันในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ผ่านทางเว็บไซด์และแอพพลิเคชั่นต่างๆ และพัฒนาเป็นข้อมูลข่าวสารหรือความรู้ที่ใช้ประโยชน์ได้ เช่น การสำรวจการอพยพของสัตว์ตามฤดูกาล หรือการเป็นดัชนีชี้วัดทางชีวภาพ (หรือ bio indicators) ของความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ หรือตัวชี้วัดของคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นั้นๆ 


การบรรลุเป้าหมายระดับโลกด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

ในเชิงนโยบาย คุณธีรยุทธได้เล่าถึงเป้าหมายระดับโลกในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยสหประชาชาติกำหนดเป้าหมายการเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ของโลก ทั้งพื้นที่บนบก พื้นที่ทางทะเลและแหล่งน้ำบนบก ให้ได้อีกร้อยละ 30 ของประเทศ ภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “เป้าหมาย 30×30

ซึ่งหนึ่งในแนวทางที่สำคัญคือ พื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกพื้นที่คุ้มครอง หรือ Other Effective Conservation Measures (OECMs) โดยที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพได้ให้คำนิยามไว้ว่า คือ “พื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่พื้นที่คุ้มครอง ซึ่งมีการบริหารและจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในธรรมชาติ หน้าที่ และบริการของระบบนิเวศ วัฒนธรรม จิตวิญญาณ สังคมเศรษฐกิจและคุณค่าอื่น ๆ ของท้องถิ่นโดยรวม อย่างยั่งยืนในระยะยาว”

คำว่า “นอกพื้นที่คุ้มครอง” ในกรณีของประเทศไทย หมายความว่า พื้นที่ OECMs จะไม่รวมพื้นที่คุ้มครอง 7 ประเภท ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าป่า พื้นที่คุ้มครองทางทะเลและชายฝั่ง พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และเขตรักษาพันธุ์สัตว์น้ำ ซึ่งแทบไม่มีอยู่ในจังหวัดนนทบุรี แต่จังหวัดนนทบุรียังมีพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพเหลืออยู่แนวคิดพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกพื้นที่คุ้มครอง จึงสอดคล้องกับความพยายามของหลายฝ่ายในจังหวัดนนทบุรีพอดี


หย่อมธรรมชาติ

พอดีวันก่อน ผมก็ไปศึกษาเรื่องนี้กับคุณปอ ชุมพล แห่ง  Groove & Glamping : Cafe & SpeakEasy Bar ใกล้วัดมะเดื่อ ซึ่งนำพื้นที่สวนเดิม ที่ถูกน้ำท่วมไปเมื่อปี 2554 และมีการปลูกพันธุ์ไม้เพิ่มเติมขึ้น จนมีความร่มรื่นสวยงาม ต่อมา คุณปอจึงพัฒนาเป็นคาเฟ่แนวแคมปิ้ง และมีกิจกรรมชมความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น นกและผีเสื้อ โดยเฉพาะนกแก้วโม่ง นกป่าหายากที่ยังหลงเหลืออยู่ไม่มากนักในนนทบุรี เรียกได้ว่าเป็น “หย่อมธรรมชาติ” และช่วงเย็นๆ บางวันก็มีดนตรีอคูสติกเบาๆ อีกด้วย 

คุณปอบอกว่า หลังจากทำคาเฟ่แนวนี้มาก็เห็นว่า ลูกค้าสนใจเข้ามาสัมผัสกับหย่อมธรรมชาติ หลายคนก็มาอยู่นาน และมาบ่อยๆ เพราะแตกต่างจากคาเฟ่หรือพื้นที่อื่นๆ และที่น่าดีใจก็คือ เด็กๆ หลายคนก็ตื่นเต้นและได้เรียนรู้เมื่อสัมผัสกับธรรมชาติ และขณะเดียวกัน ธรรมชาติก็เริ่มกลับคืนมา เช่น มีหิ่งห้อย มาให้ชมทุกคืน

คุณปอเน้นถึงองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ที่ทำให้การดูแลรักษาพื้นที่ของความหลากหลายทางชีวภาพหรือหย่อมธรรมชาติในจังหวัดนนทบุรีสามารถรักษาเอาไว้ได้ 

ประการแรกก็คือ ความผูกพันในที่ดินของเจ้าของที่ดิน (เช่นคุณปอ ซึ่งเคยมาใช้ชีวิตในพื้นที่แห่งนี้ตั้งแต่ในวัยเด็ก) ที่จะไม่อยากขายหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ที่ดินไปเป็นอย่างอื่น 

ประการที่สอง เหตุผลหรือแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ นั่นก็คือความสามารถในการหารายได้จากที่ดินดังกล่าวเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าของที่ดินที่เพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดทำเป็นคาเฟ่หรือแหล่งท่องเที่ยวแบบอื่นๆ ก็จะมีส่วนโดยทางอ้อมที่จะรักษาพื้นที่หย่อมธรรมชาติของความหลากหลายทางชีวภาพไว้ได้ 

ประการที่สามคือ การรักษาองค์ประกอบพื้นฐานของระบบนิเวศการเกษตรในพื้นที่ ซึ่งในกรณีของจังหวัดนนทบุรีก็คือ ระบบคูคลอง เพราะหากระบบคูคลองถูกถมหรือทำลายไป ระบบน้ำที่เชื่อมโยงจากคลองอ้อมนนท์เข้ามาสู่พื้นที่สวนหรือย่อมธรรมชาติต่างๆ ก็จะไหลเวียนมาไม่ได้ พื้นที่ของความหลากหลายทางชีวภาพหรือหย่อมธรรมชาติก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ต่อไป เช่นเดียวกับคุณภาพของน้ำในคลองอ้อมนนท์และลำคลองสาขาก็จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลอย่างน้อยให้ไม่แย่ลงไปกว่าเดิมอีก

ประการที่สี่ คือ ความรู้หรือความรักในธรรมชาติหรือความหลากหลายทางชีวภาพของผู้คนในสังคม เพราะความรู้หรือความในธรรมชาติของผู้คนจะเป็นพื้นฐานสำคัญ ที่ทำให้เกิดความผูกพันในพื้นที่หย่อมธรรมชาติ หรือ อยากเข้ามาสัมผัส อยากเข้ามาเรียนรู้ และอยากร่วมรักษาเอาไว้ ซึ่งจะกลายเป็นทั้งแรงจูงใจและแรงบันดาลใจสำคัญในการรักษาพื้นที่แห่งความหลากหลายทางชีวภาพเอาไว้ให้ได้


ภาพบรรยากาศร้าน Groove & Glamping : Cafe & SpeakEasy Bar ร้านคาเฟ่ในสวนหย่อมธรรมชาติ ใกล้คลองอ้อมนนท์


การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพของจังหวัดนนทบุรี

ในช่วง 3-4 ทศวรรษที่ผ่านมา พื้นที่จังหวัดนนทบุรีเผชิญความเสี่ยงภัยที่จะเกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพได้หลายประการ ตั้งแต่ 

  1. การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินจากพื้นที่สวนเกษตรเป็นพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชยกรรม และการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดิน จนเป็นเหตุให้มีการเก็งกำไรในที่ดิน และไม่ให้ความสนใจในการดูแลรักษาและใช้ประโยชน์ที่ดินเช่นเดิม
  2. การถูกน้ำท่วมใหญ่หลายครั้ง เช่น น้ำท่วมในปี 2538 และน้ำท่วมในปี 2554 นอกจากนี้หลายพื้นที่เป็นที่ลุ่มต่ำ เช่น เกาะเกร็ด ก็ยังเป็นพื้นที่ที่มีน้ำท่วมเป็นประจำเกือบทุกปีส่งผลให้พื้นที่สวนหลายแห่งถูกปล่อยรกร้าง และเป็นแรงผลักดันให้เปลี่ยนรูปแบบการใช้พื้นที่การเกษตรไปเป็นพื้นที่อย่างอื่น 
  3. ระบบคูคลองของพื้นที่นิเวศการเกษตรเดิมได้ถูกทำลายไปจากการถมทำลาย โดยเจ้าของที่ดิน หรือคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมลงจนไม่สามารถใช้เพื่อการเกษตรได้ ซึ่งคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมลงนั้นส่วนหนึ่งก็เกิดขึ้นจากการเกิดโครงการอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากในพื้นที่
  4. การเก็บภาษีที่ดินในลักษณะที่เป็นที่รกร้างว่างเปล่า (ในช่วง 4-5 ปีหลัง) ทำให้เจ้าของที่ดินซึ่งปล่อยพื้นที่ให้มีการฟื้นตัวตามธรรมชาติโดยไม่ได้เข้าไปปลูกหรือทำการเกษตรเพิ่มเติม ถูกจำแนกเป็นที่รกร้างว่างเปล่าและต้องเสียภาษีในอัตราที่แพงกว่าพื้นที่เกษตรเป็นอย่างมาก จนทำให้เกิดการถางทำลาย หรือถมพื้นที่ดังกล่าวเพื่อปลูกพืชการเกษตรเชิงเดี่ยว เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีที่ดินในลักษณะรกร้างว่างเปล่า


นโยบายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

จากที่คุยมาทั้งหมด คุณเลิศมงคล ผู้สมัครนายก อบจ. นนทบุรี จึงมาช่วยต่อยอดความคิดว่า แนวทางการประเมินความหลากหลายทางชีวภาพ น่าจะช่วยตอบโจทย์การรักษาพื้นที่สีเขียวในจังหวัดนนทบุรี โดยเฉพาะในพื้นที่สำคัญ 2 พื้นที่ คือ เกาะเกร็ดและพื้นที่ริมคลองอ้อมนนท์ โดยทรัพยากรทางชีวภาพในทั้งสองพื้นที่ยังมีคุณค่ามากมาย แต่กลับถูกมองข้ามจากการพัฒนาของเมืองและการพัฒนาเศรษฐกิจ พื้นที่สีเขียวหลายพื้นที่กลับถูกตีค่าเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าและถูกเก็บภาษีในราคาแพง 


ภาพ แนวคลองอ้อมนนท์จาก google map


ภาพคลองอ้อมนนท์ที่เป็นเสมือนระเบียงนิเวศที่ช่วยเชื่อมต่อหย่อมธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพของนนทบุรี


ดังนั้น การประเมินความหลากหลายทางชีวภาพที่ทีม EcoRest จะเป็นส่วนช่วยสำคัญในการรักษาพื้นที่สีเขียวที่มีความหลากหลายทางชีวภาพหรือหย่อมธรรมชาติในจังหวัดนนทบุรีไว้ได้โดยจะต้องมีกระบวนการเชิงนโยบายใน 5 ลักษณะด้วยกันคือ

  1. การลดหย่อนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับพื้นที่สีเขียวที่มีความหลากหลายทางชีวภาพหรือมีมีความสำคัญในระบบนิเวศ เช่น การเป็นพื้นที่หน่วงน้ำ และเป็นพื้นที่ที่เปิดให้สาธารณชนได้เข้าใช้ประโยชน์ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เช่น การพักผ่อนหรือการเรียนรู้ เป็นต้น และต้องมีเงื่อนไขในการรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในระยะเวลาหนึ่งเช่นอย่างน้อย 5 ปีหรือ 10 ปี
  2. การยกระดับพื้นที่หย่อมธรรมชาติบางแห่งให้กลายเป็นพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกพื้นที่คุ้มครอง หรือ OECMs และเป็นเป้าหมายเชิงนโยบายของจังหวัดนนทบุรี (และ/หรือจังหวัดอื่นๆ) ในการเพิ่มพื้นที่ OECMs ที่สอดคล้องกับระบบภูมินิเวศและเศรษฐกิจวัฒนธรรมของตนเอง
  3. การจัดกระบวนเรียนรู้แบบธรรมชาติศึกษาสำหรับเด็กและครอบครัว รวมถึงโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัดนนทบุรี ให้เหมาะสมสำหรับแต่ละช่วงวัย และต้องให้มีปริมาณหรือรูปแบบการเข้าชมที่สอดคล้องกับการสัมผัสและเรียนรู้ธรรมชาติด้วย
  4. การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศหลายรูปแบบตามกลุ่มเป้าหมายไม่ว่าจะเป็น การนั่งชิลล์/ทำงานที่คาเฟ่ในสวน การพายเรือคายัคในคลองอ้อมนนท์ การดูนกแก้วโม่งและนกอื่นๆ ในสวน การแคมปิ้งในสวนและชมหิ่งห้อย รวมถึงรูปแบบของการส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวโดยการเก็บสะสมการสัมผัสหรือการเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพตามจุดต่างๆ ในพื้นที่นนทบุรี
  5. การอนุรักษ์ระบบคลอง คู และลำรางสาธารณะต่างๆให้ ยังความสามารถในการไหลเวียนน้ำได้ตามปกติต่อไปในระยะยาว และดูแลคุณภาพน้ำในลำคลองให้อยู่ในสถานะที่ดี โดยจะต้องให้ความสำคัญกับ (ก) การบำบัดน้ำเสียทั้งในหมู่บ้านจัดสรร ในชุมชนริมน้ำ (ข) การกำหนดกติกาที่จะรักษาคูคลองย่อยๆ ในพื้นที่ไม่ให้ถูกถมทำลาย และ(ง) การจัดทำผังเมืองเพื่อให้มีหรือเพื่อรักษาระยะถอยล่นจากลำน้ำสำหรับโครงการขนาดใหญ่หรือจุดที่มีการใช้งานน้ำเป็นจำนวนมาก


อย่างไรก็ดี เราจำเป็นต้องออกแบบนโยบายอย่างระมัดระวังเพื่อมิให้เกิดปัญหาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่ยั่งยืนและต้องคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น การส่งเสริมให้มีการปลูกไม้โตเร็วซึ่งเป็นพืชต่างถิ่นอาจทำให้เกิดการรุกรานพืชพรรณท้องถิ่นได้ เพราะฉะนั้น การสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพในกระบวนการนโยบายสาธารณะ และกับสาธารณชนทั่วไปจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ทั้งหมดนี้คือความพยายามเบื้องต้นในการที่จะยกระดับประเด็นปัญหาความหลากหลายทางชีวภาพให้ขึ้นมาเป็นประเด็นหรือมาตรการในเชิงนโยบายที่จะดำเนินการได้ทั้งในระดับท้องถิ่นและในระดับชาติ และหวังว่าในการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีประเด็นเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพเข้ามาเป็นหนึ่งในประเด็นที่จะพิจารณาสำหรับการเลือกตั้งในครั้งที่จะถึงนี้

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า