เดชรัต สุขกำเนิด
เรื่องน่าแปลกประการหนึ่ง เวลาที่คนไทยกล่าวถึงความสำเร็จและบทเรียนในการจัดการน้ำของเนเธอร์แลนด์ เราก็มักจะกล่าวถึงเรื่อง “มหัศจรรย์ของเทคโนโลยี” หรือวิศวกรรมการจัดการน้ำเป็นหลัก โดยแทบไม่กล่าวถึง “ความลุ่มลึกของการจัดการองค์กร” ด้านน้ำของเนเธอร์แลนด์เลย
มรดกสำคัญทางประวัติศาสตร์ในการจัดการน้ำของเนเธอร์แลนด์คือ Regional Water Authorities หรืออาจเรียกได้องค์กรบริหารน้ำระดับภูมิภาค ซึ่งหากฟังผิวเผิน คนไทยจำนวนไม่น้อย (รวมถึงผม) จะเริ่มตั้งหลักจากสิ่งที่มีในประเทศไทย นั่นคือ คณะกรรมการลุ่มน้ำ (ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ) แต่บทความนี้จะชี้ให้เห็นรูปแบบการทำงานขององค์กรบริหารน้ำของเนเธอร์แลนด์ และความแตกต่างระหว่าง ”องค์กรบริหารน้ำระดับภูมิภาค” ของเนเธอร์แลนด์ กับคณะกรรมการลุ่มน้ำของไทย
ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์
จุดเริ่มต้นขององค์กรบริหารน้ำของเนเธอร์แลนด์ย้อนกลับไปได้ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 (หรือประมาณ 700 ปีก่อน) เมื่อเกษตรกรและชุมชนในเนเธอร์แลนด์ เริ่มสร้างคันกันน้ำ (หรือ dike) สร้างพื้นที่คันล้อม (หรือ polder) ซึ่งหลายพื้นที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ดังนั้น จึงต้องขุดลำคลองในพื้นที่คันล้อม และการมีกังหันลมหรืออุปกรณ์อื่นๆ ช่วยในการวิดน้ำออกจากพื้นที่คันล้อม เพื่อที่ทำให้พื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล สามารถใช้ในการอยู่อาศัยและทำการเกษตรได้ โดยไม่ถูกน้ำท่วม
แต่การดำเนินการในรูปแบบการสร้างพื้นที่คันล้อม จำเป็นต้องมีทั้ง (ก) การลงทุนร่วมกัน (ข) การปฏิบัติการอย่างใกล้ชิด (ค) การบำรุงรักษา และ (ง) การประเมินผลและการวางแผนที่จะปรับปรุงและพัฒนาต่อไป
ดังนั้น การก่อสร้างและการจัดการพื้นที่คันล้อมจึงจำเป็นต้องมี (ก) องค์กร (ข) ข้อตกลงหรือกฎกติกา (ค) การระดมทรัพยากร เช่น แรงงาน และเงินทุน (ง) ผู้รับผิดชอบในการบริหารจัดการ และ (จ) การมีส่วนร่วมในการทำงานและการตรวจสอบของสมาชิกทุกคน
นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นขององค์กรบริหารจัดการน้ำมาตั้งแต่อดีตกาล แต่ละองค์กรจะมีกฎกติกา และมีระบบการเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมของตนเอง และถือเป็นกลไกและองค์กรที่สำคัญมากๆ ในการทำให้แผ่นดินเนเธอร์แลนด์ปลอดภัยจากน้ำท่วม จนต่อมาภายหลัง รัฐบาลเนเธอร์แลนด์จึงมีการกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการองค์กรให้มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ภายใต้กฎหมายเดียวกันคือ พระราชบัญญัติองค์กรบริหารน้ำ
ความเป็นสถาบันทางประชาธิปไตย
ความน่าสนใจก็คือ ตั้งแต่ 700 ปีก่อน ชุมชนชาวเนเธอร์แลนด์ที่ร่วมกันกู้แผ่นดินจากทะเล โดยการทำพื้นที่คันล้อม เลือกใช้ “กลไกหรือสถาบันแบบประชาธิปไตย” ในการเป็นกลไกสำคัญในการจัดการองค์กรดังกล่าว จนได้ชื่อว่า องค์กรบริหารน้ำของเนเธอร์แลนด์เป็นหนึ่งในสถาบันทางประชาธิปไตยที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นรากฐานทางสังคมของชาวเนเธอร์แลนด์จนกระทั่งปัจจุบัน
คำว่า “องค์กรที่ใช้กลไกประชาธิปไตย” นั่นแปลว่า องค์กรบริหารจัดการน้ำ จะมีคณะกรรมการมาจากเลือกตั้ง โดยทั่วไปแต่ละองค์กรจะมีคณะกรรมการ 30 คน ประมาณ 24-26 คนจะมาจากการเลือกตั้ง แต่มีอีก 4-6 คนที่มาจากการมอบหมายจากองค์กรเกษตรกร 2 คน องค์กรผู้ใช้น้ำรายใหญ่อื่นๆ (เช่น ภาคธุรกิจ) 2 คน และองค์กรที่ทำงานด้านอนุรักษ์ธรรมชาติ 2 คน
แต่คำว่า “ประชาธิปไตย” ไม่ได้หมายความเพียงแค่การเลือกตั้ง องค์กรบริหารจัดการน้ำระบุหลักการในการทำงานไว้ชัดเจน 3 ประการคือ
- Consultation หมายถึง การปรึกษาหารือร่วมกันในแนวทางเลือก/การตัดสินใจต่างๆ
- Consensus หมายถึง การได้ฉันทามติ ที่ยอมรับกันได้ร่วมกัน ให้มากที่สุด
- Collaboration หมายถึง การร่วมมือทั้งภายในภูมิภาค ระหว่างภูมิภาค ร่วมมือกับรัฐบาลกลางและรัฐบาลจังหวัด และร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ
แน่นอนว่า การแสวงหาฉันทามติระหว่างสมาชิกที่มีความแตกต่างกันในแง่การใช้น้ำ เช่น ระหว่างเกษตรกร ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม บ้านเรือนประชาชน/ชุมชน ย่อมเป็นเรื่องที่ยากมากๆ แต่ทางองค์กรผู้ใช้น้ำของเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่า การหารือ การหาฉันทามติ และการร่วมมือกัน เป็นหนทางเดียวที่จะบริหารจัดการระบบน้ำที่มีความซับซ้อนของเนเธอร์แลนด์ แล้วทำให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างแท้จริง
รูปแบบการบริหารจัดการ
แต่แน่นอนว่า ตลอด 700 ปีที่ผ่านมา องค์กรบริหารน้ำของเนเธอร์แลนด์ มีการปรับปรุง/เปลี่ยนแปลงตลอด ตามรูปแบบของการบริหารจัดการในประเทศ และตามเทคโนโลยีในการจัดการน้ำในแต่ละช่วงเวลา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ จำนวนขององค์กรบริหารจัดการน้ำลดลงจาก 2,000 กว่าองค์กรในปี ค.ศ. 1950 (ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ให้เหลือเพียง 21 องค์กรในปัจจุบัน ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เหมาะสม (หรือเพื่อให้เกิดการประหยัดทางขนาด) กับเทคโนโลยีในการป้องกันน้ำท่วมที่มีขนาดโครงการใหญ่ขึ้น และให้เหมาะสมกับรูปแบบการปกครองท้องถิ่นของเนเธอร์แลนด์ที่ 12 จังหวัดในปัจจุบัน
ความแตกต่างระหว่างตัวเลข 12 จังหวัด กับ 21 พื้นที่องค์กรบริหารน้ำระดับภูมิภาค ซึ่งไม่ตรงกัน เป็นเรื่องน่าสนใจมาก แต่หลักคิดสำคัญในการแบ่งพื้นที่บริหารจัดการน้ำ จะต้องพิจารณาทั้งจาก (ก) สภาพลุ่มน้ำตามธรรมชาติ (ข) รูปแบบการป้องกันและบริหารจัดการน้ำในแต่ละพื้นที่ (เช่น พื้นที่คันล้อมเดียวกัน ต้องดูแลโดยองค์กรบริหารน้ำเดียวกัน) และ ลักษณะของเมืองและการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่นั้น
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่บางองค์กรบริหารจัดการน้ำจะต้องมีพื้นที่ครอบคลุมมากกว่า 1 จังหวัด (มากที่สุดคือ Rivierenland มี 4 จังหวัด) และในทางกลับกัน บางจังหวัดจะมีองค์กรบริหารจัดการน้ำมากกว่า 1 องค์กร (มากที่สุดคือจังหวัดร็อตเตอร์ดัมมี 3 องค์กร) ทั้งนี้ ในกรณีที่องค์กรบริหารน้ำแห่งหนึ่งที่มีมากกว่าหนึ่งจังหวัดจะมีจังหวัดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นจังหวัดเจ้าภาพในการกำกับดูแลองค์กรบริหารน้ำนั้น

ภาพ แผนที่องค์กรบริหารน้ำระดับภูมิภาคทั้ง 21 แห่งของเนเธอร์แลนด์
ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Hoogheemraadschap_van_Delfland
ภารกิจหน้าที่หลัก
ในส่วนความรับผิดชอบในการบริหารจัดการของแต่ละองค์กร ซึ่งดูผิวเผินอาจก่อให้เกิดความสงสัย เพราะหน่วยงานของเนเธอร์แลนด์ที่จัดการเรื่องน้ำ มีทั้งรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่นระดับจังหวัด เทศบาล องค์กรบริหารจัดการน้ำระดับภูมิภาค และบริษัทผลิตน้ำประปาดื่มได้ แถมจำนวนจังหวัดกับจำนวนขององค์กรบริหารจัดการน้ำยังต่างกันไปด้วย
เนเธอร์แลนด์ได้วางรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรต่างๆ ไว้ดังนี้
- รัฐบาลกลาง ทำหน้าที่ดำเนินการและดูแลโครงการป้องกันน้ำท่วมขนาดใหญ่ เช่น โครงการเดลต้าเวิร์ค
- รัฐบาลจังหวัด ทำหน้าที่กำกับดูแลองค์กรบริหารจัดการน้ำ และการขอใช้น้ำใต้ดิน
- องค์กรบริหารน้ำ จะรับผิดชอบโดยตรงในเรื่องการบริหารน้ำ ทั้งในเชิงปริมาณ (ให้มีน้ำเพียงพอและไม่ท่วม) และในเชิงคุณภาพ (เช่น การจัดการน้ำเสีย)
- เทศบาล รับผิดชอบโดยตรงกับระบบสุขาภิบาล หรือระบบรวบรวมน้ำเสีย
- องค์กรผลิตน้ำประปา รับผิดชอบในการผลิตน้ำประปา (ดื่มได้)
ดังนั้น การบริหารจัดการเรื่องน้ำจึงต้องประสานงาน และร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยองค์กรหลักที่ต้องประสานความร่วมมือคือ รัฐบาลจังหวัด เพราะเป็นผู้กำกับดูแลโดยตรง ประสานกับเทศบาลในเรื่องการจัดการน้ำเสีย และแหล่งน้ำสำหรับนันทนาการ ประสานกับรัฐบาลกลางในระบบป้องกันน้ำท่วมขนาดใหญ่ ประสานกับองค์กรผลิตน้ำประปาในเรื่องคุณภาพของน้ำประปา เป็นต้น

ภาพ ตัวอย่างการทำงานขององค์กรบริหารน้ำของเนเธอร์แลนด์
ภาพจาก https://dutchwaterauthorities.com/about/
เนื่องจากภารกิจที่รับผิดชอบโดยตรงมีความสำคัญมาก องค์กรบริหารน้ำระดับภูมิภาคแต่ละแห่งจะมีพนักงานโดยเฉลี่ยประมาณ 500 คน ตัวเลขนี้บ่งบอกว่า องค์กรบริหารจัดการน้ำระดับภูมิภาค มิได้เป็นเพียงองค์กรประสานงาน หรือกำกับนโยบาย แต่เป็นองค์กรปฏิบัติการอย่างแท้จริง (มาตั้งแต่อดีตกาล)
ปัจจุบัน งบประมาณในการบริหารจัดการน้ำทั้งหมดของประเทศเนเธอร์แลนด์ ประมาณ 40% ของงบทั้งหมด จะเป็นการบริหารจัดการขององค์กรบริหารน้ำทั้ง 21 แห่ง ซึ่งมากกว่า องค์กรจัดการน้ำระดับอื่นๆ นี่บ่งบอกถึงความสำคัญขององค์กรบริหารน้ำระดับภูมิภาคเป็นอย่างดี
ภาษีการบริหารจัดการน้ำ
เนื่องจากการบริหารจัดการน้ำในแต่ละพื้นที่ย่อมต้องมีทั้งกฎกติกาที่ชัดเจน และมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาให้ระบบการจัดการน้ำยังคงทำงานได้ตามปกติ องค์กรบริหารจัดการน้ำของเนเธอร์แลนด์จึงมีอำนาจในการกำหนดกติกาที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และมีอำนาจในการจัดเก็บค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่า ภาษีการบริหารจัดการน้ำ มานานมากแล้ว จนมีการกล่าวกันว่าองค์กรบริหารน้ำของเนเธอร์แลนด์มีอำนาจในการกำหนดกติกาและการเก็บภาษีมาก่อนที่จะมีรัฐเนเธอร์แลนด์เสียอีก
ปัจจุบัน การจัดเก็บภาษีการบริหารจัดการน้ำ เป็นส่วนหนึ่งของพระราชบัญญัติองค์กรบริหารน้ำ และแยกออกมาจากภาษีอื่นๆของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ กระทรวงการคลังให้เหตุผลว่า เนื่องจากการบริหารจัดการน้ำเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ในขณะที่การจัดเก็บภาษีและกระบวนการงบประมาณอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ไม่ต้องการจะให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการน้ำต้องผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ จึงแยกการจัดเก็บภาษีมาเป็นส่วนเฉพาะที่องค์กรบริหารจัดการน้ำของเนเธอร์แลนด์สามารถบริหารจัดการได้ด้วยตนเอง
รูปแบบการจัดเก็บภาษีการบริหารจัดการน้ำแบ่งได้ใหญ่ๆ เป็น 2 ส่วน หนึ่งคือ ภาษีการจัดการระบบน้ำ ซึ่งหมายถึงการดูแลให้น้ำภายในพื้นที่มีปริมาณและคุณภาพดีตามที่กำหนด และสองคือ ภาษีการจัดการน้ำเสีย ภาษีทั้งสองรูปแบบนั้นมีลักษณะที่เหมือนกันและต่างกัน ส่วนที่เหมือนกันก็คือ การจัดเก็บจะเน้นหลักการคำนวณตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เพื่อให้ระบบการบริหารจัดการน้ำมีทรัพยากรเพียงพอที่จะดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องต่อไป
ส่วนที่ต่างกันนั้นก็คือ ภาษีการจัดการระบบน้ำจะคำนวณตามหลักการผู้ใช้ประโยชน์เป็นผู้จ่าย ส่วนภาษีการจัดการน้ำเสียจะคำนวณตามหลักหลักการผู้ก่อให้เกิดมลพิษเป็นผู้จ่าย
การคำนวณอัตราภาษีทั้งสองส่วนจะแบ่งย่อยตามกลุ่มผู้ได้รับประโยชน์ (กรณีภาษีการบริหารจัดการระบบน้ำ) ได้แก่ ครัวเรือนผู้อยู่อาศัย เจ้าของที่พักหรืออสังหาริมทรัพย์ เกษตรกรหรือเจ้าของที่ดินการเกษตร และผู้ดูแลพื้นที่ทางธรรมชาติ โดยอัตราการจัดเก็บจะมีการแยกคำนวณโดยละเอียด ตัวเลขคร่าวๆ ที่แสดงให้เห็นภาพรวมของการจัดเก็บภาษีการบริหารจัดการระบบน้ำในปี ค.ศ. 2024 ภาคครัวเรือนจะเสียภาษี การบริหารจัดการระบบน้ำประมาณ 107 ยูโรต่อปี เจ้าของอสังหาริมทรัพย์จะเสียภาษีประมาณ 0.03% ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ เกษตรกรจะเสียภาษีประมาณ 87 ยูโรต่อปีต่อ 10,000 ตารางเมตร ส่วนเจ้าของหรือผู้ดูแลพื้นที่ธรรมชาติจะเสียภาษีประมาณ 6 ยูโรต่อปีต่อ 10,000 ตารางเมตร
ส่วนภาษีการจัดการน้ำเสียที่ครัวเรือน (หรือบ้านพักอาศัย) จ่ายกันอยู่จะตกประมาณ 76 ยูโรต่อหนึ่งคนต่อปี ส่วนผู้ใช้น้ำ กลุ่มอื่นๆ จะมีสูตรการคำนวณเป็นการเฉพาะว่าได้ปล่อยน้ำเสียเทียบเท่ากับหน่วยกี่คน (ในบ้านพักอาศัย) ต่อปี
กล่าวได้ว่า การมีระบบการจัดเก็บภาษีที่เข้มแข็งและชัดเจน เป็นจุดเด่นสำคัญขององค์กรบริหารจัดการน้ำของประเทศเนเธอร์แลนด์ ทำให้องค์กรบริหารจัดการน้ำสามารถดำเนินการได้ตามแนวทางที่ประชาชนในแต่ละพื้นที่สะท้อนผ่านคณะกรรมการที่มาจากการเลือกตั้ง (ตามที่ได้กล่าวข้างต้น) โดยมีอิสระทางการเงินอย่างชัดเจน
องค์กรที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
นอกเหนือจาก องค์กรบริหารน้ำใน 21 ภูมิภาคแล้ว องค์กรบริหารน้ำเหล่านี้ยังได้มีการรวมกลุ่มกันเพื่อที่จะจัดตั้งองค์กรที่มีความสำคัญในการช่วยการบริหารจัดการน้ำในแต่ละพื้นที่อีกสององค์กรได้แก่
- ธนาคารสำหรับการบริหารจัดการน้ำ (หรือ NWB; Nedelandse Waterschapsbank) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นองค์กรสำคัญในการช่วยระดมทุนและลงทุนในการบริหารจัดการขององค์กรบริหารน้ำต่างๆ ทำให้องค์กรบริหารน้ำสามารถลงทุนเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้เป็นอย่างดี โดยทยอยนำภาษีการบริหารจัดการน้ำที่เก็บได้ในแต่ละปีมาชำระคืนในการลงทุนที่ให้ประโยชน์ในอนาคต
- สันนิบาตหรือสหภาพขององค์กรบริหารน้ำแห่งเนเธอร์แลนด์ (หรือ Dutch Water Authorities) ซึ่งเป็นองค์กรกลางขององค์กรบริหารน้ำทั้ง 21 แห่ง ที่ก่อตั้งขึ้นมาเองโดยไม่ได้เป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ทำหน้าที่สำคัญในการประสานงานกับภาครัฐ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำขององค์กรบริหารน้ำทั้ง 21 แห่งดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ภาพ จากการหารือระหว่างคณะกรรมาธิการศึกษาและติดตามงบประมาณของไทย กับสหภาพขององค์กรบริหารน้ำแห่งเนเธอร์แลนด์ (หรือ Dutch Water Authorities) เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567
ย้อนมองประเทศไทย
ในการศึกษาดูงานของหน่วยงานต่างๆ ของประเทศไทยที่ได้มีโอกาสเยี่ยมชมการบริหารงานขององค์กรบริหารน้ำของเนเธอร์แลนด์มักจะกล่าวเทียบเคียงแบบง่ายๆ ว่า องค์กรนี้ก็คือคณะกรรมการลุ่มน้ำที่มีอยู่ในประเทศไทย และเป็นกลไกสำคัญตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว องค์กรบริหารน้ำของเนเธอร์แลนด์กับคณะกรรมการลุ่มน้ำของไทย มีความแตกต่างกันหลายประการ ซึ่งหากเน้นเฉพาะประเด็นสำคัญจะมีความแตกต่างกัน 7 ประการด้วยกัน คือ
- คณะกรรมการลุ่มน้ำของไทยเป็นกลไกประสานงาน ในขณะที่องค์กรบริหารน้ำของเนเธอร์แลนด์เป็นกลไกบริหารจัดการน้ำ (ตามชื่อขององค์กร) ทั้งในเชิงปริมาณ (มีน้ำให้เพียงพอและไม่ท่วม) และในเชิงคุณภาพ
- ภารกิจของคณะกรรมการลุ่มน้ำของไทยจะเน้นไปในเชิงปริมาณ ได้แก่ การป้องกันภัยแล้งและอุทกภัย ในขณะที่การบริหารจัดการในด้านคุณภาพน้ำต้องใช้กลไกของหน่วยงานส่วนกลาง เช่นกรมควบคุมมลพิษ หรือกรมโรงงานอุตสาหกรรม (แล้วแต่กรณี) แต่องค์กรบริหารน้ำระดับภูมิภาคของเนเธอร์แลนด์จะดูแลการจัดการน้ำทั้งในเชิงปริมาณและในเชิงคุณภาพ โดยมีความสำคัญใกล้เคียงกัน
- ด้วยเหตุผลที่คณะกรรมการลุ่มน้ำของไทยเป็นกลไกประสานงาน คณะกรรมการลุ่มน้ำของไทยจึงมีทรัพยากรในการบริหารจัดการน้ำไม่มากนัก คณะกรรมการลุ่มน้ำต้องอาศัยทรัพยากร บุคลากร และการบริหารจัดการจากหน่วยงานอื่นๆ โดยเฉพาะหน่วยงานส่วนกลาง เช่น กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นต้น ในขณะที่องค์กรบริหารน้ำของเนเธอร์แลนด์มีกลไกในการจัดเก็บภาษีหรือค่าบริหารจัดการน้ำ มีบุคลากรและมีเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำ ด้วยตนเอง
- งบประมาณเพื่อการบริหารจัดการน้ำของไทยอยู่ที่หน่วยงานส่วนกลางเป็นหลัก งบการบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่มีสัดส่วนเพียงประมาณ 10% ของงบประมาณในการจัดการน้ำทั้งหมดเท่านั้น ในขณะที่งบประมาณในการจัดการน้ำในระดับพื้นที่ของเนเธอร์แลนด์อยู่ในระดับ 40% ของงบประมาณในการจัดการน้ำทั้งประเทศ นั่นแปลว่าเนเธอร์แลนด์ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำโดยองค์กรระดับพื้นที่อย่างแท้จริง
- งบประมาณที่ใช้ในการบริหารจัดการน้ำของไทยมักจะมาจากการจัดสรรงบประมาณ จากรัฐบาล (ซึ่งก็คือภาษีจากประชาชนทั่วไป) แต่งบประมาณในการบริหารจัดการน้ำของเนเธอร์แลนด์จัดเก็บมาจากผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการบริหารจัดการน้ำ (ซึ่งเก็บไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่) และมาจากผู้ที่ก่อให้เกิดมลพิษ (ซึ่งจัดเก็บไม่เท่ากันตามปริมาณน้ำเสียที่แต่ละคนผลิตขึ้น)
- ที่มาของคณะกรรมการลุ่มน้ำของไทยมาจากผู้แทนของหน่วยงานต่างๆ ทั้งส่วนกลางส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ในขณะที่ที่มาของคณะกรรมการในองค์กรบริหารน้ำของเนเธอร์แลนด์เกือบทั้งหมดมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนภายในพื้นที่ หรืออาจกล่าวได้ว่าคณะกรรมการองค์กรบริหารน้ำของเนเธอร์แลนด์ต้องมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อประชาชนในแต่ละพื้นที่
- สืบเนื่องจากการที่องค์กรบริหารน้ำของเนเธอร์แลนด์มีพนักงานในการดูแลการจัดการน้ำโดยเฉลี่ย 500 คนต่อแห่ง และมีพื้นที่และความรับผิดชอบในการบริหารจัดการน้ำที่ชัดเจน ทำให้สามารถสั่งสมความรู้ ประสบการณ์ ทักษะ และข้อมูลที่จำเป็นในการบริหารจัดการน้ำได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่คณะกรรมการลุ่มน้ำของไทยจะดำเนินการร่วมกันเป็นบางช่วงเวลาตามวาระการดำรงตำแหน่งเท่านั้น โดยมีพนักงานหรือราชการที่ดูแลการทำงานของคณะกรรมการลุ่มน้ำอย่างต่อเนื่องไม่มากนัก
การกล่าวถึงความแตกต่างนี้มิได้หมายความว่ารูปแบบในการทำงานขององค์กรบริหารน้ำของเนเธอร์แลนด์จะเหมาะสมสำหรับประเทศไทย หรือดีกว่าการบริหารจัดการน้ำที่เป็นอยู่ของไทย แต่ความแตกต่างดังกล่าวจะเป็นประเด็นสำหรับการถกเถียงและค้นหารูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการจัดการน้ำในประเทศไทย เช่น การเพิ่มความสำคัญของการจัดการน้ำในระดับพื้นที่ หรือการเปิดให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงในการบริหารจัดการน้ำในแต่ละพื้นที่ให้มากขึ้น เป็นต้น