กึกก้อง เสือดี
เดชรัต สุขกำเนิด
น้ำคือ ชีวิตของคนสมุทรสงคราม ตั้งแต่เกิด หล่อเลี้ยงชีวิต จนกระทั่งวาระสุดท้ายกลายเป็นเถ้ากระดูก เราก็ฝากไว้กับสายน้ำ น้ำเป็นปัจจัยหลักในการเกษตรกรรม สุขภาพ เศรษฐกิจและการท่องเที่ยว จนมีการกล่าวว่า “หากน้ำดี ชีวิตของชาวสมุทรสงคราม” ก็จะดีไปด้วย
ด้วยความครอบคลุมของระบบการจัดการน้ำที่ละเอียดและปราณีต สมุทรสงครามจึงกลายเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัด จนถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของจังหวัดในนาม “ระบบนิเวศสามน้ำ” รวมถึงการสร้างอัตลักษณ์อื่นๆ ในจังหวัดก็ยังเชื่อมโยงกับระบบแม่น้ำลำคลองและพื้นที่ชุมน้ำด้วย ไม่ว่าจะเป็นปลาทูแม่กลอง ส้มโอขาวใหญ่ หอยหลอด น้ำตาลมะพร้าวสมุทรสงคราม และอื่นๆ
แต่การพัฒนาที่ไม่เข้าใจระบบนิเวศวัฒนธรรมในช่วง 3-4 ทศวรรษหลัง ก็กำลังสร้างผลกระทบอย่างมากต่อระบบคูคลองและพื้นที่ชุ่มน้ำของสมุทรสงคราม ซึ่งจะส่งกระทบในด้านอื่นๆ ตามมา เพราะฉะนั้น ภารกิจการรักษาระบบแม่น้ำลำคลองและพื้นที่ชุ่มน้ำจึงเป็นความท้าทายที่สำคัญมากขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของจังหวัดสมุทรสงคราม โดยเฉพาะ อบจ. สมุทรสงคราม
บทความนี้จะบอกเล่าถึงความสำคัญของระบบแม่น้ำลำคลองและพื้นที่ชุ่มน้ำของสมุทรสงคราม ปัญหาและภัยคุกคามของระบบแม่น้ำลำคลองเหล่านี้ และแนวทางในการอนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองเหล่านี้ไว้ให้ได้
สมุทรสงครามและพื้นที่ชุ่มน้ำ
พื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetlands) ตามที่นิยามโดย อนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) หมายถึง:
“พื้นที่ที่มีน้ำขังหรือมีน้ำท่วมขังเป็นครั้งคราวหรือถาวร รวมถึงพื้นที่น้ำจืด น้ำกร่อย หรือน้ำเค็ม ที่เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติหรือแหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งมีระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น บึง หนอง คลอง แม่น้ำ ป่าชายเลน และป่าพรุ”
จังหวัดสมุทรสงครามมีพื้นที่ที่เข้าข่าย “พื้นที่ชุ่มน้ำ” เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดที่ตั้งอยู่ในลุ่มน้ำแม่กลองและใกล้ชายฝั่งทะเล มีแม่น้ำ ลำคลอง สวนมะพร้าว นาเกลือ และป่าชายเลนที่ทำหน้าที่เป็นระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น
พื้นที่ในสมุทรสงครามที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1. พื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติ
- แม่น้ำแม่กลอง: แม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านจังหวัด
- คลองธรรมชาติ: เช่น คลองอัมพวา คลองบางน้อย คลองบางแก้ว
- ป่าชายเลน: พื้นที่ป่าชายเลนบริเวณอ่าวไทย เช่น บริเวณตำบลบางจะเกร็งและตำบลแหลมใหญ่
- บึงและหนองน้ำ: หนองน้ำขนาดเล็กในพื้นที่การเกษตร
2. พื้นที่ชุ่มน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น
- นาเกลือ: ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสมุทรสงคราม โดยเฉพาะในอำเภอเมืองและอำเภอปากท่อ
- สวนมะพร้าวและสวนผลไม้: ใช้ระบบน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงต้นไม้

กิจกรรมการสำรวจระบบนิเวศหาดโคลนซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งของพื้นที่ชุมน้ำสมุทรสงคราม
ภาพจาก เฟซบุ๊คของเพจ สมุทรสงครามอยู่ดี
แม้ว่าจังหวัดสมุทรสงครามจะมีลักษณะพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางพื้นที่ในจังหวัดสมุทรสงครามที่ไม่ถือว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น (ก) พื้นที่สูงกว่าระดับน้ำท่วมถึง เช่น บางพื้นที่ในเขตอำเภอเมืองหรืออำเภออัมพวา ที่เป็นที่อยู่อาศัยและถนนที่ยกสูง (ข) พื้นที่เขื่อนหรือถมดิน เช่น พื้นที่ที่ถูกถมเพื่อสร้างถนน อาคาร หรือโครงสร้างพื้นฐาน และ (ค) พื้นที่อุตสาหกรรมขนาดเล็ก เช่น เขตโรงงานหรือพื้นที่ที่ไม่ได้มีระบบนิเวศเชื่อมโยงกับน้ำโดยตรง และปัญหาที่สำคัญคือ พื้นที่ที่ไม่ถือเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเริ่มมีพื้นที่มากขึ้น และแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่ชุ่มน้ำเดิม จนทำให้บางพื้นที่มีความเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำลดลงได้
เมื่อพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดสมุทรสงครามถือว่าเป็น พื้นที่ชุ่มน้ำ เนื่องจากมีแม่น้ำ ลำคลอง ป่าชายเลน นาเกลือ และพื้นที่สวนที่พึ่งพาระบบน้ำ การจัดการพื้นที่เหล่านี้ให้สมดุลจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรักษาเอกลักษณ์และความหลากหลายทางชีวภาพของจังหวัดสมุทรสงครามไว้ให้ได้
ความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ
พื้นที่ชุ่มน้ำมีความสำคัญอย่างมากสำหรับจังหวัดสมุทรสงคราม เนื่องจากมีบทบาททางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ดังนี้:
1. ความสำคัญทางสิ่งแวดล้อม
- ระบบนิเวศที่สมบูรณ์: พื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ป่าชายเลน และคลองธรรมชาติในสมุทรสงคราม เป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์หลากหลายชนิด รวมถึงสัตว์น้ำที่เป็นทรัพยากรสำคัญ
- การกักเก็บคาร์บอน: ป่าชายเลนในพื้นที่ชุ่มน้ำช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ป้องกันน้ำท่วม: พื้นที่ชุ่มน้ำช่วยชะลอน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก และป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
2. ความสำคัญทางเศรษฐกิจ
- การประมงและเกษตรกรรม: พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ซึ่งเป็นรายได้สำคัญของประชาชนในพื้นที่
- การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ: สมุทรสงครามมีพื้นที่ชุ่มน้ำที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น การล่องเรือชมป่าชายเลนและการชมหิ่งห้อย
- การเก็บทรัพยากรธรรมชาติ: เช่น ไม้โกงกาง ใบจาก และเกลือทะเล ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมพื้นบ้าน
3. ความสำคัญทางวัฒนธรรมและสังคม
- วิถีชีวิตของชุมชน: พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชุมชนในสมุทรสงคราม เช่น การเก็บหอยจากธรรมชาติ การทำประมงพื้นบ้าน และการใช้คลองเป็นเส้นทางคมนาคม
- ภูมิปัญญาท้องถิ่น: เช่น การทำเครื่องมือจับสัตว์น้ำ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรในพื้นที่ เช่น ส้มโอขาวใหญ่ หรือน้ำตาลมะพร้าว

ภาพ วิถีชีวิตชุมชนในระบบแม่น้ำลำคลองของสมุทรสงคราม
ภาพจาก เฟซบุ๊คของเพจ สมุทรสงครามอยู่ดี
ระบบแม่น้ำลำคลองในจังหวัดสมุทรสงคราม
แม่น้ำ ลำคลอง และคูหรือลำรางสาธารณะในจังหวัดสมุทรสงครามมีความหลากหลายและเป็นเอกลักษณ์ กึกก้อง เสือดี ผู้สำรวจระบบแม่น้ำลำคลองในจังหวัดสมุทรสงครามพบว่าระบบแม่น้ำลำคลองในจังหวัดสมุทรสงครามประกอบด้วย
- 1 แม่น้ำ = แม่น้ำแม่กลอง
- 345 คลอง
- 3,000 กว่าลำกระโดง อู่ แพรก และลำราง
- มีเส้นทางน้ำยาวรวมกันกว่า 2,200 กิโลเมตร
- คือมีเส้นทางน้ำ = 5.28 กิโลเมตร ต่อพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร เลยทีเดียว
กึกก้อง เสือดี ได้จำแนกระบบคูคลองตามลำดับการเข้าถึงจากแม่น้ำ (stream order) แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่
- แม่น้ำแม่กลอง
- คลองหลัก คือ ทางน้ำขนาดใหญ่ประมาณ 20 เมตร เคยใช้เป็นทางสัญจรหลักข้ามจังหวัด
- คลองซอย คือ ทางน้ำที่แยกจากคลองหลัก หรือที่มีขนาดเล็กกว่าคลองหลัก แต่ไม่เล็กกว่า 3 เมตร
- ลำกระโดง อู่ แพรก ลำราง เป็นทางน้ำขนาดเล็กกว่า 3 เมตร ส่งน้ำจากคลองหลัก หรือคลองซอยเข้าพื้นที่เกษตรกรรม และระบายน้ำกลับสู่คลองหลักและแม่น้ำ
ระบบคูคลอง และระบบสวนยกร่อง (ที่เชื่อมโยงกับคูคลอง) ของจังหวัดสมุทรสงคราม มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและพื้นที่ชุ่มน้ำในพื้นที่ ดังนี้:
- การรักษาสมดุลของระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำ ระบบคูคลองและสวนยกร่องช่วยเชื่อมโยงพื้นที่ชุ่มน้ำเข้ากับแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำแม่กลองและคลองสาขาต่าง ๆ ทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำจืดและน้ำกร่อยที่เป็นประโยชน์ต่อระบบนิเวศ เช่น การรักษาความสมดุลของพืชน้ำ สัตว์น้ำ และป่าชายเลนในพื้นที่
- การช่วยกักเก็บน้ำ ระบบคูคลองทำหน้าที่กักเก็บน้ำไว้ในช่วงฤดูน้ำหลาก และน้ำทะเลหนุนสูง ในฐานะพื้นที่แผ่น้ำซึ่งทำให้ระดับน้ำไม่สูงเกินไปและระบายในช่วงน้ำแล้ง ซึ่งช่วยรักษาระดับน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ
- ที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำและนกอพยพ โดยคูคลองที่เชื่อมโยงกับพื้นที่สวนยกร่องทำหน้าที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์น้ำหลากหลายชนิด เช่น ปู ปลา หอย รวมถึงนกอพยพที่พึ่งพาพื้นที่ชุ่มน้ำในจังหวัดสมุทรสงคราม นอกจากนี้ คูคลองในสมุทรสงครามยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์และจับสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ซึ่งสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน
- การออกแบบระบบสวนยกร่องให้สอดคล้องกับธรรมชาติ สวนยกร่องเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่อาศัยการขุดร่องน้ำและยกพื้นสวนเพื่อป้องกันน้ำท่วมและเพิ่มพื้นที่การปลูกพืช โดยระบบนี้ช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำ และยังช่วยเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง และยังเป็นพื้นที่เกษตรผสมผสานที่พึ่งพาระบบนิเวศ เช่น มะพร้าวน้ำหอม ลิ้นจี่ และส้มโอ โดยพึ่งพาน้ำจากคูคลองและดินที่อุดมสมบูรณ์จากตะกอนน้ำท่วม ซึ่งเป็นผลจากระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำ

ภาพการสำรวจแม่น้ำคูคลองในจังหวัดสมุทรสงคราม โดยคุณกึกก้อง เสือดี
ภาพจากเฟซบุ๊ค Kuekkong Suedee
ปัญหาและภัยคุกคามของระบบแม่น้ำลำคลอง
แม่น้ำลำคลองในจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญของท้องถิ่น กำลังเผชิญกับปัญหาและภัยคุกคามหลายประการ ซึ่งสามารถแยกตามประเภทของแม่น้ำลำคลองได้ดังนี้:
1. แม่น้ำหลัก (เช่น แม่น้ำแม่กลอง) ปัญหาและภัยคุกคามในแม่น้ำแม่กลอง ได้แก่
- มลพิษจากชุมชนและอุตสาหกรรม: น้ำเสียจากบ้านเรือน ร้านค้า ฟาร์มปศุสัตว์ และโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำโดยไม่ได้บำบัด โดยบางส่วนอาจอยู่ในจังหวัดที่อยู่ทางตอนเหนือน้ำ ดังเช่น เหตุการณ์ปลากระเบนยักษ์ตายจากภาวะน้ำเสีย
- การบุกรุกพื้นที่ริมตลิ่ง: การสร้างบ้านเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างริมแม่น้ำ ส่งผลให้เกิดการพังทลายของตลิ่งและลดพื้นที่กักเก็บน้ำ รวมไปถึงเปลี่ยนแปลงสภาพตลิ่งธรรมชาติเป็นเขื่อนโครงสร้างแข็งตั้งฉากทำให้แหล่งอาศัยของสัตว์น้ำและนกลดลง อีกทั้งทำให้เกิดการกัดเซาะตลิ่งบริเวณใกล้เคียงมากขึ้นและรุนแรงขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ: การสร้างเขื่อนหรือประตูระบายน้ำบริเวณต้นน้ำ ส่งผลให้การไหลเวียนของน้ำเปลี่ยนไป และกระทบต่อระบบนิเวศน้ำจืดในพื้นที่
- การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลหนุนสูง: โดยเฉพาะในช่วงเช้าในช่วงปลายปีสูงขึ้น ทำให้ท่วมพื้นที่ริมตลิ่งและพื้นที่ต่ำ ทั้งนี้ เพราะพื้นที่แผ่น้ำและรับน้ำในขณะน้ำขึ้นสูงสุดในจังหวัดสุมทรสงครามลดลง ทำให้น้ำทะเลหนุนสูงขึ้นและมีผลกระทบมากขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change): น้ำทะเลหนุนสูงและการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝนทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำแม่กลองผันผวนมากขึ้น
2. คลองหลัก (เช่น คลองอัมพวา คลองบางน้อย) ปัญหาและภัยคุกคามในคลองธรรมชาติเหล่านี้ ได้แก่
- ขยะในคลอง: ขยะพลาสติกและสิ่งปฏิกูลจากการท่องเที่ยวและชุมชนริมคลองส่งผล กระทบต่อความสะอาดและภาพลักษณ์ของคลองธรรมชาติ โดยส่วนใหญ่พบบริเวณจุดที่น้ำชน (น้ำขึ้นจากสองปากคลองไปชนกัน)
- น้ำเสียจากกิจกรรมท่องเที่ยว: ตลาดน้ำและการขยายตัวของธุรกิจในพื้นที่ส่งผลให้ปริมาณน้ำเสียเพิ่มขึ้น
- การตื้นเขินของคลอง: เกิดจากการสะสมของตะกอนและวัชพืชน้ำ เช่น ผักตบชวา
- การลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ: สัตว์น้ำและพืชน้ำที่เคยมีความหลากหลายลดลง เนื่องจากน้ำเสียและมลพิษ
- ภัยคุกคามทางระบบนิเวศ โดยเฉพาะการรุกรานของสัตว์ต่างถิ่น ได้แก่ ปลาหมอคางดำ
- การขยายตัวของการพัฒนาเมือง: ส่งผลให้คลองธรรมชาติถูกถมเพื่อสร้างถนนหรือสิ่งปลูกสร้าง
- อุปสรรคที่กีดขวางทางน้ำ เช่น การรุกล้ำของวัชพืช ผักตบชวา ในโซนน้ำจืด การรุกล้ำของต้นจาก ลำพู ในโซนน้ำกร่อย
3. คลองซอยที่เป็นน้ำกร่อยและน้ำเค็ม (เช่น คลองใกล้ปากอ่าวแม่กลอง) ปัญหาและภัยคุกคามในคลองธรรมชาติเหล่านี้ ได้แก่
- การเปลี่ยนแปลงของระดับความเค็ม: น้ำทะเลหนุนสูงในบางช่วง ส่งผลให้น้ำในคลองเค็มมากกว่าปกติ และส่งผลกระทบต่อการทำเกษตร เช่น สวนมะพร้าว และนาเกลือ
- ปัญหาน้ำเน่าเสีย: น้ำเสียจากโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำหรือประมงในพื้นที่ ส่งผลให้น้ำในคลองมีสภาพเป็นน้ำเสียสะสม
- การบุกรุกพื้นที่ชายฝั่ง: การสร้างถนนหรือสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ป่าชายเลนที่อยู่ใกล้คลอง
- การกัดเซาะชายฝั่ง: น้ำทะเลกัดเซาะพื้นที่ริมคลองที่อยู่ติดชายฝั่ง ทำให้คลองบางส่วนตื้นเขินและเสียสภาพ
- การเลี้ยงสัตว์น้ำที่ไม่เหมาะสม: เช่น การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่ที่ไม่ผ่านการควบคุม อาจทำให้ดินและน้ำในคลองเสื่อมคุณภาพ
- อุปสรรคที่กีดขวางทางน้ำ การรุกตัวของแสม โกงกาง และการสะสมตะกอนอย่างรวดเร็วในโซนน้ำเค็ม
4. คลอง/คู/ลำรางเพื่อการเกษตรและการระบายน้ำ (เช่น คลองสาขารอบแม่น้ำแม่กลอง) ปัญหาและภัยคุกคามในลำคลองแบบนี้
- การปนเปื้อนจากสารเคมีเกษตร: สารเคมีจากการทำเกษตร เช่น ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง ถูกชะล้างลงคลอง ส่งผลให้น้ำเสียและเกิดปัญหาในระบบนิเวศ
- การขาดการดูแลรักษาคูคลอง: บางพื้นที่ไม่มีการขุดลอกคูคลอง ทำให้คลองตื้นเขินและการระบายน้ำไม่สะดวก
- การใช้น้ำที่ไม่ยั่งยืน: การดึงน้ำจากคลองเพื่อการเกษตรมากเกินไปในบางฤดู อาจทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรน้ำในอนาคต
- ภัยแล้งที่เพิ่มมากขึ้น: การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลส่งผลให้ปริมาณน้ำในคลองลดลง โดยเฉพาะในฤดูแล้ง
- ขยะในคลอง: ขยะพลาสติกและสิ่งปฏิกูลจากการท่องเที่ยวและชุมชนริมคลองส่งผล กระทบต่อความสะอาดและภาพลักษณ์ของคลองธรรมชาติ โดยส่วนใหญ่พบบริเวณจุดที่น้ำชน (น้ำขึ้นจากสองปากคลองไปชนกัน)
นโยบายการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและระบบแม่น้ำลำคลอง
เพื่อแก้ไขปัญหาและรับมือกับภัยคุกคามกับระบบแม่น้ำลำคลองที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม สามารถมีนโยบายที่จะอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบแม่น้ำลำคลอง ตามความเร่งด่วน ดังต่อไปนี้
นโยบายเร่งด่วน ทำทันที: จัดการปัญหาเร่งด่วน เฉพาะหน้า ทำต่อเนื่องได้ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ส่งเสริมพื้นที่เกษตรกรรมและประมง
1. Clean – จัดการขยะในแม่น้ำลำคลองอย่างเป็นระบบ
ปัญหาหลัก: ขยะทางน้ำเป็นปัญหาข้ามพรมแดนการปกครอง โดยเฉพาะการปกครองระดับตำบล เนื่องจากทางน้ำส่วนใหญ่ข้ามเขตตำบล และเป็นเส้นเขตแดน รวมไปถึงระบบน้ำที่ไหลขึ้น-ลง วันละ 2 รอบ แตกต่างตามค่ำแรมและฤดูกาล การจัดการจำเป็นต้องอาศัยอำนาจในการบูรณาการข้ามเขต พึ่งพาการมีส่วนร่วมจากชุมชน รัฐ และเอกชน
1.1 ประสาน เทศบาล อปท. โยธาฯ จังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด ชุมชน และภาคเอกชนหาสาเหตุและอุปสรรคของแต่ละพื้นที่
1.2 กำหนดจุดเสี่ยงและจุดสะสมของขยะในแต่ละพื้นที่
1.3 หารือกับผู้ประกอบการรับซื้อขยะโดยเฉพาะทางเรือ ในการวางระบบการเก็บ คัดแยก บางส่วนทำลาย บางส่วนขายเพื่อนำมาเป็นรายได้เข้ากองทุนฟื้นฟูคลอง
1.4 จัดหาอุปกรณ์ที่เหมาะสม ได้แก่ สนับสนุนเรือเก็บขยะโดยจัดเป็นโซน 3-4 ตำบล/วัน ในการเก็บขยะทางเรือ, ทุ่นดักขยะตามจุดเสี่ยงต่างๆ โดยไม่กีดขวางระบบน้ำและการสัญจรของเรือ (เปิดปิดตามช่วงเวลา/ระบบน้ำ)
1.5 สนับสนุนกิจกรรมเก็บขยะทางน้ำของภาครัฐ เอกชน และอาสาสมัครอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง
2. Clear – สะสางและขุดลอกอุปสรรคที่กีดขวางทางน้ำ โดยจะต้องคำนึงถึงหลักการ 3 ข้อ
2.1 One size does not fit all : ใช้วิธีและเครื่องมือที่เหมาะสมในการสะสางและขุดลอกทางน้ำ เนื่องจากแต่ละระบบนิเวศ แต่ละขนาดคลอง มีความแตกต่างกัน ได้แก่
- ขุดลอกคลองที่มีขนาดใหญ่-กลาง ด้วยรถตักปกติ
- คลองขนาดเล็กใช้รถตักขนาดเล็ก, ดูดเลนด้วยเรือ/เครื่องดูดเลนมือถือกับทางน้ำที่มีขนาดกลาง-เล็ก ที่ท้องคลองสะสมด้วยดินเลนมาก และมีความเสี่ยงต่อตลิ่งพังสูง (ทำงานร่วมกับชุมชนและงานวิจัยของกรมชลประทาน) โดยจัดหาที่กองเลนและพาหนะสำหรับบรรทุกเลน
- เรือปั่นวัชพืชสำหรับคลองเล็กที่มีจุดสะสมของวัชพืชลอยน้ำ, ประสานโยธาฯ และจัดหาเรือกำจัดผักตบชวาสำหรับคลองใหญ่และแม่น้ำ
2.2 Bottom up : เริ่มจากชุมชนโดยสนับสนุนกิจกรรมลงแขกลงคลองโดยชุมชนอย่างจริงจังต่อเนื่อง เนื่องจากคลองซอย ลำกระโดง แพรก และลำราง ที่มีขนาดเล็กมีหลายพันสาย เป็นโครงข่ายเชื่อมโยงกันทั้งจังหวัด ต้องอาศัยความรู้เฉพาะระดับพื้นที่ และการสะสางโดยชุมชน ซึ่งการ ”ลงแขกลงคลอง“ เป็นเครื่องมือที่เหมาะสม ตรงจุด สะท้อนปัญหาที่แท้จริง และอยู่บนฐานข้อมูลและองค์ความรู้ของแต่ละชุมชน แต่ไม่มีเจ้าภาพและการจัดสรรงบประมาณ (ปัจจุบันชุมชนใช้วิธีลงขันของผู้นำหมู่บ้าน)
2.3 Prioritize : จัดลำดับ ความถี่ และช่วงเวลาที่เหมาะสม ในการสะสางเส้นทางน้ำ วางแผนระยะยาว เพื่อวางแผนงบประมาณ ประเมินผล และทบทวนความสำเร็จของแผน เพื่อไม่ต้องรอการร้องขอจาก เทศบาล อบต. ชุมชน และประชาชน
3. Take Advantage : เพิ่มการใช้ประโยชน์จากเส้นทางน้ำ ด้วยเชื่อว่า “เมื่อทางน้ำถูกใช้ประโยชน์จะเกิดการดูแลและฟื้นฟูโดยผู้ใช้ประโยชน์นั้นเอง” ด้วยการสนับสนุนการท่องเที่ยวทางน้ำโดยชุมชน (Community Base Tourism: CBT) เริ่มต้นจากการท่องเที่ยวตามรอยเสด็จประพาสต้นในรัชกาลที่ 5 โดยใช้ตลาดน้ำอัมพวาเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางน้ำ และขยายไปสู่พื้นที่ต่อเนื่อง ”จากแม่น้ำลำคลองสู่ทะเลดอนหอยหลอด“
4. Restoration : ฟื้นฟูระบบนิเวศในน้ำและริมน้ำเพื่อสนับสนุนการเกษตร/ประมง การท่องเที่ยว และคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน เชื่อมโยงกับการส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่นสมุทรสงคราม
4.1 สนับสนุนการกำจัดสัตว์น้ำเอเลี่ยนสปีชี่ที่ทำลายระบบนิเวศ เช่น ปลาหมอคางดำ อย่างเร่งด่วน
4.2 ฟื้นฟูระบบนิเวศโดยให้ความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพระหว่างพื้นที่บนบก ชายตลิ่ง และในน้ำ
4.2 สนับสนุนการท่องเที่ยวทางน้ำเชิงนิเวศและสุขภาพ
นโยบายระยะปานกลาง ทำใน 2 ปี: ฐานข้อมูลน้ำที่สมบูรณ์ มาตรฐาน ใช้งานได้
การจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการข้อมูลน้ำจังหวัดสมุทรสงคราม (Data Driven : ขับเคลื่อนนโยบายด้วยข้อมูล) โดยจัดทำฐานข้อมูลเส้นทางน้ำที่ครบถ้วน ได้มาตรฐาน สามารถนำไปวางแผนเพื่อการบริหารจัดการได้ โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการ โครงการจัดทำผังน้ำของกรมโยธาฯ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และชุมชน
1 สำรวจและจัดทำข้อมูลเส้นทางตามลำดับเส้นทางน้ำ (stream order) แม่น้ำ คลองหลัก คลองซอย ลำกระโดง/แพรก/ลำราง หรือ การจัดทำ “ผังน้ำ” โดยมีข้อมูลขนาด การใช้งาน การไหล สภาพปัจจุบัน ปัญหาและความเสี่ยง ทั้งนี้วางแผนสำรวจทุกๆ 4-5 ปี
2 ตั้งทีมสำรวจทางน้ำเพื่ออัพเดทสภาพปัญหาอย่างรวดเร็ว
3 ข้อมูลชั้นความสูงของพื้นที่ (DEM) ที่ละเอียด สามารถวางแผนบริหารจัดการได้ โดยใช้เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล (remote sensing โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม) ร่วมกับการสำรวจพื้นที่ด้วยโดรนและเทคโนโลยี Lidar เฉพาะที่มีความเสี่ยงและเผชิญปัญหาซ้ำซาก เช่น ตลาดแม่กลอง ตลาดอัมพวา และพื้นที่ชายทะเล เพื่อประเมินความเสี่ยงน้ำท่วมของแต่ละพื้นที่
4 จัดทำแผนที่ความเสี่ยงด้านน้ำ และภัยพิบัติต่างๆ (Risk maps) เพื่อป้องกัน วางแผนเผชิญเหตุ และฟื้นฟูหลังประสบภัย เชื่อมโยงและแสดงข้อมูล/เตือนภัยผ่าน SKM Smart App ในนโยบาย สมุทรสงคราม Smart City
– ความเสี่ยงน้ำท่วมจากน้ำทะเลหนุน
– ความเสี่ยงน้ำท่วมจากน้ำเหนือ
– ความเสี่ยงน้ำเค็ม (น้ำเค็มหนุนสูง/น้ำจืดน้อย บริเวณสวนน้ำจืด)
– ความเสี่ยงน้ำเสีย (จุดน้ำเสียซ้ำซาก และน้ำเสียจากแพลงค์ตอนบลูม)
– ความเสี่ยงการกัดเซาะชายฝั่ง
– ความเสี่ยงตลิ่งพัง
– ความเสี่ยงภัยพิบัติอื่นๆ เช่น วาตภัย ฯลฯ

ภาพระบบแม่น้ำ ลำคลอง คูและลำกระโดง ต่างๆ จากการสำรวจของกึกก้อง เสือดี
ภาพจาก กึกก้อง เสือดี
นโยบายระยะยาว ทำภายใน 4 ปี: แก้ปัญหาด้วยวิถีธรรมชาติ (Nature Base Solution) เพิ่มพื้นที่ให้น้ำอยู่ และพื้นที่การเรียนรู้เรื่องน้ำ ได้แก่
1. ฟื้นฟูพื้นที่แผ่น้ำและรับน้ำ
1.1 Clean and Clear ตามข้อ 1-2
1.2 ฟื้นฟูป่าชายเลนและพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อรับน้ำหนุนและป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
1.3 เพิ่มพื้นที่แผ่น้ำตามนโยบายเพิ่มพื้นที่สาธารณะฯ โดยออกแบบให้สามารถรองรับน้ำหนุนในช่วงน้ำขึ้น (High tide flooding) และระเบิดฝน (Rain Bomb) ระดับชุมชนได้
2. พื้นที่เรียนรู้เรื่องน้ำในนโยบายเพิ่มพื้นที่สาธารณะ
2.1 ปรับปรุงสวนอิน-จัน ให้เป็นสวนสาธารณะและศูนย์เรียนรู้เรื่องสมุทรสงครามและเมืองน้ำ
2.2 ปรับปรุงพื้นที่ท้องฟ้าจำลอง ต.บางแก้ว ให้เป็นพื้นที่เรียนรู้พื้นที่ชุ่มน้ำดอนหอยหลอด และภูมิปัญญาทะเล
3. การวางแผนฉากทัศน์สำหรับอนาคต
เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โลกรวนซึ่งทำให้เกิดภัยพิบัติถี่และรุนแรงขึ้น เพื่อส่งต่อบ้านเมืองที่ดีให้ลูกหลาน
3.1 วางแผน/ออกแบบ พื้นที่แผ่น้ำขนาดใหญ่ (พื้นที่ราชพัสดุ ต.ลาดใหญ่ ซึ่งเคยเป็น ลำลาดใหญ่ ที่รับน้ำหนุนและน้ำหลากในอดีต) ทั้งนี้ต้องหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ใช้ประโยชน์ปัจจุบัน อาจเพิ่มเงื่อนไขให้เป็นพื้นที่รับน้ำฉุกเฉิน หรือเป็นการใช้ประโยชน์ร่วมกันหลายจุดประสงค์โดยยังคงรับน้ำได้
3.2 ประเมินการใช้โครงสร้างทางวิศวกรรมในพื้นที่ที่จำเป็น ซึ่งไม่สามารถใช้การแก้ปัญหาโดยวิถีธรรมชาติได้
3.3 น้ำท่วม น้ำหนุน น้ำหลาก อย่างน้อยต้องสะอาด: วางแผนแยกท่อน้ำทิ้งออกจากท่อระบายน้ำฝนและน้ำที่บำบัดแล้ว โดยวางแผนร่วมกับ อปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนสำหรับการสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในอนาคต
นโยบายระดับประเทศและนานาชาติที่จะคุ้มครองพื้นที่ชุ่มน้ำ
นอกเหนือจากนโยบายในระดับท้องถิ่น รัฐบาลส่วนกลางยังสามารถช่วยสนับสนุนการอนุรักษ์ระบบแม่น้ำลำคลอง และพื้นที่ชุ่มน้ำของจังหวัดสมุทรสงคราม ได้ดังนี้
การยกร่างและผลักดันพระราชบัญญัติพื้นที่ชุ่มน้ำ
การยกร่างพระราชบัญญัติพื้นที่ชุ่มน้ำ จะมีบทบาทสำคัญในการดูแลรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำและแม่น้ำลำคลองในจังหวัดสมุทรสงคราม โดยสามารถช่วยในหลายด้านดังนี้:
- การคุ้มครองพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างเป็นระบบ เพราะพระราชบัญญัติจะกำหนด เขตพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญ อย่างชัดเจน เช่น แม่น้ำแม่กลอง คลองธรรมชาติ ป่าชายเลน นาเกลือ และพื้นที่การเกษตรที่เกี่ยวข้อง และจะสร้างกฎเกณฑ์การอนุรักษ์และฟื้นฟู พื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น การควบคุมการบุกรุก การถมคลอง หรือการพัฒนาที่ไม่เหมาะสม
- การจัดการมลพิษในแม่น้ำและลำคลอง กฎหมายจะกำหนด มาตรการควบคุมมลพิษ เช่น การจัดการน้ำเสียจากชุมชน โรงงาน และกิจกรรมเกษตรกรรม เพิ่มเติมจากกฎหมายควบคุมมลพิษที่มีอยู่ และจะส่งเสริมการบำบัดน้ำเสียและการใช้เทคโนโลยีสะอาดในพื้นที่ที่ปล่อยน้ำลงสู่แม่น้ำลำคลอง
- การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น การยกร่างพระราชบัญญัติสามารถกำหนดให้มี คณะกรรมการดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งรวมตัวแทนจากภาครัฐ เอกชน และชุมชนในพื้นที่ และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชาวบ้านในกิจกรรมอนุรักษ์ เช่น การปลูกป่าชายเลน การดูแลคลอง และการเฝ้าระวังมลพิษซึ่งจะทำให้ชุมชนในสมุทรสงคราม เช่น ชาวสวนมะพร้าวและผู้ประกอบการตลาดน้ำ มีบทบาทในการดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำมากขึ้น
- การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่างพระราชบัญญัติจะสนับสนุน โครงการฟื้นฟูป่าชายเลน เพื่อลดการกัดเซาะชายฝั่งและรักษาระบบนิเวศ และสร้างกลไกในการเตรียมมาตรการรับมือกับน้ำทะเลหนุนสูงและภัยแล้ง เช่น การสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมและการจัดการน้ำเค็ม
- การบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การกำหนดบทลงโทษทางกฎหมาย สำหรับผู้ที่บุกรุกพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือทำลายแม่น้ำลำคลอง และการส่งเสริมการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะและบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเช่น อบจ. ในการดูแลและตรวจสอบพื้นที่ชุ่มน้ำ
ขณะนี้ พรรคประชาชนกำลังผักดันในมีการนำร่างพระราชบัญญัตพื้นที่ชุ่มน้ำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรภายในปี 2568 นี้ ซึ่งหากสำเร็จจังหวัดสมุทรสงครามก็จะมีกลไกในการช่วยคุ้มครองและฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำได้ดีขึ้น
พื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตพื้นที่คุ้มครอง (OECMs)
OECMs คืออะไร?
OECMs (Other Effective Conservation Measures) เป็นกลไกตามข้อตกลงว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของสหประชาชาติ OECMs เป็นการอนุรักษ์ที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของพื้นที่คุ้มครองตามกฎหมาย เช่น อุทยานแห่งชาติหรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แต่เป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมหรือการจัดการที่ช่วยปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและบริการของระบบนิเวศอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น พื้นที่เกษตรกรรมเชิงอนุรักษ์ นาเกลือ หรือพื้นที่ชุ่มน้ำที่ดูแลโดยชุมชน
เนื่องจากพื้นที่ชุ่มน้ำของสมุทรสงครามเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และเกือบทั้งหมดอยู่นอกเขตพื้นที่คุ้มครองตามกฎหมายของรัฐ แต่ส่วนใหญ่เป็นเรือกสวนนาเกลือและพื้นที่ชุมชน ที่อาศัยภูมิปัญญาของชุมชนในการรักษาและพัฒนามานาน สมุทรสงครามสามารถใช้ประโยชน์จากกลไกพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตพื้นที่คุ้มครอง (หรือ OECMs) เพื่ออนุรักษ์ระบบแม่น้ำลำคลองและพื้นที่ชุ่มน้ำได้ ดังนี้
- การกำหนดพื้นที่ OECMs ในระบบแม่น้ำลำคลองและพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยพื้นที่ที่อาจกำหนดให้เป็น OECMs เช่น แม่น้ำแม่กลองและคลองธรรมชาติ: เช่น
- คลองอัมพวา คลองบางน้อย คลองบางแก้ว ฯลฯ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญต่อระบบนิเวศและชุมชน
- นาเกลือ: เป็นระบบการผลิตที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ชุ่มน้ำและเป็นที่อยู่อาศัยของนกน้ำ
- ป่าชายเลน: เช่น บริเวณแหลมใหญ่และบางจะเกร็ง
- สวนมะพร้าวและสวนผลไม้: ที่มีการจัดการน้ำและใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
- ส่งเสริมการจัดการโดยชุมชน (Community-Based Management) โดยใช้ OECMs เป็นกลไกที่ส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทในการดูแลและอนุรักษ์ระบบนิเวศ เช่น การจัดตั้งกลุ่มอนุรักษ์คลองอัมพวา เพื่อเฝ้าระวังคุณภาพน้ำและมลพิษ การส่งเสริมวิถีการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น การล่องเรือชมธรรมชาติในคลองบางน้อย ซึ่งการเป็นพื้นที่ OECMs จะช่วยในการประชาสัมพันธ์ในระดับนานาชาติ
- สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน และการดำเนินโครงการร่วมระหว่างภาครัฐ ชุมชน และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ในการอนุรักษ์ระบบลำน้ำ ตัวอย่างเช่น โครงการปลูกป่าชายเลนในพื้นที่ชุ่มน้ำที่ใกล้ปากอ่าวแม่กลอง หรือโครงการสนับสนุนเกษตรกรผู้ทำนาเกลือในเขตน้ำกร่อยให้ใช้วิธีการผลิตแบบยั่งยืน เป็นต้น
- พัฒนากลไกสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ โดยใช้ระบบการชดเชยคุณค่าหรือการให้บริการทางระบบนิเวศ (Payment for Ecosystem Services – PES) เพื่อสนับสนุนชุมชนที่รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น ให้สิทธิพิเศษแก่ชาวบ้านที่อนุรักษ์คลองธรรมชาติหรือฟื้นฟูป่าชายเลน หรือการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนจากระบบนิเวศ เช่น น้ำตาลมะพร้าวอินทรีย์จากสวนที่ดูแลคลอง
- จัดการข้อมูลและการประเมินผลพื้นที่ OECMs การเป็นพื้นที่ OECMs จะมีกลไกช่วยในการจัดทำ ฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุ่มน้ำ และติดตามผลการอนุรักษ์ในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็น OECMs เช่น การสำรวจชนิดพันธุ์ปลา นกน้ำ และพืชน้ำในคลองต่าง ๆ การติดตามคุณภาพน้ำในแม่น้ำแม่กลองและคลองที่สำคัญ ซึ่งช่วยปกป้องแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ นกน้ำ และพืชน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำ และป้องกันการรุกรานของสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นรุกราน (เช่นเดียวกับ ปลาหมอคางดำ) ไปด้วยในตัว
เพราะฉะนั้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม สามารถนำกลไก OECMs มาใช้ในการคุ้มครองรักษา และฟื้นฟูระบบแม่น้ำลำคลองและพื้นที่ชุ่มน้ำของสมุทรสงคราม พร้อมๆ กับการต่อยอดไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
สรุป : ปลุกพลังท้องถิ่นอนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่ชุมน้ำและระบบแม่น้ำลำคลอง
ระบบแม่น้ำลำคลอง และพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นหัวใจสำคัญของระบบนิเวศ ระบบวัฒนธรรม และระบบเศรษฐกิจของจังหวัดสมุทรสงคราม แต่ปัจจุบัน เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงหัวใจบางเส้นเริ่มติดขัด และ/หรือมีสิ่งเจือปน จนอาจจะไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดีดังเดิม เพราะฉะนั้น การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบแม่น้ำลำคลอง และพื้นที่ชุ่มน้ำจึงเป็นความสำคัญอย่างเร่งด่วนของชาวสมุทรสงคราม ซึ่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงครามสามารถทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการเชื่อมประสานชุมชน เทศบาล อบต ผู้ประกอบการ หน่วยงานราชการอื่นๆ และหน่วยงานต่างประเทศ ในการผนึกกำลังกันดูแลแม่น้ำลำคลอง และพื้นที่ชุ่มน้ำเหล่านี้ โดยจะต้องดำเนินการผ่านการสำรวจพื้นที่ ประสานความเข้าใจ จัดสรรงบประมาณ และติดตามความคืบหน้าและความเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด ก็จะสามารถรักษาและพัฒนาพื้นที่อันเป็นเอกลักษณ์นี้ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว