นาวิน โสภาภูมิ
บทความนี้ Think Forward Center ขอนำข้อมูลของ สส. มานพ คีรีภูวดล พรรคประชาชน จังหวัดเชียงใหม่ จากการอภิปรายร่าง พ.รบ.งบประมาณ 2569 ณ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 มาวิเคราะห์ให้เห็นข้อเสนอเชิงนโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจจากอนุรักษ์และบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตป่า
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ต้องการแนวทางใหม่ๆ ในการสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับประชาชน ในการอภิปรายของ สส. มานพ คีรีภูวดล ได้นำเสนอวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศผ่านการ “สร้างป่าเศรษฐกิจและป่าอุตสาหกรรม” โดยชี้ให้เห็นถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของทรัพยากรป่าไม้ที่หากได้รับการบริหารจัดการอย่างถูกต้อง จะสามารถเป็นขุมทรัพย์สำคัญของชาติได้

ศักยภาพที่ถูกมองข้าม: จาก “คนสร้างป่า ป่าเลี้ยงคน คนและป่าสร้างชาติ” สู่ความเป็นจริง
สส. มานพ ได้เริ่มต้นด้วยถ้อยแถลงที่ทรงพลังว่า “คนสร้างป่า ป่าเลี้ยงคน คนและป่าสร้างชาติ” ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งระหว่างมนุษย์ ป่าไม้ และความเจริญของประเทศ ซึ่งในอดีต ประเทศไทยเคยเป็นผู้ส่งออกไม้รายสำคัญไปยังตลาดยุโรป แต่ปัจจุบันบทบาทของป่าไม้ในทางเศรษฐกิจลดน้อยลงมาก ทั้งที่มีศักยภาพมาแต่ดั้งเดิม แต่กลับไม่มีการรรื้อฟื้นขึ้นมา
ปัจจุบัน นโยบายป่าไม้แห่งชาติและแผนแม่บทการพัฒนาป่าไม้แห่งชาติ ปี 2562 กำหนดเป้าหมายให้มีพื้นที่ป่า 40% ของประเทศ (ประมาณ 129 ล้านไร่) แต่ความเป็นจริงเรามีพื้นที่ป่าเพียง 31% (ประมาณ 101 ล้านไร่) ซึ่ง ขาดหายไปจากเป้าหมายถึง 16 ล้านไร่ โดยเฉพาะในส่วนของป่าเศรษฐกิจและป่าชุมชนที่ควรมี 15% (48 ล้านไร่) แต่ปัจจุบันมีเพียง 32 ล้านไร่ (แยกเป็นสวนยางพารา 20-22 ล้านไร่ ป่าชุมชน 6 ล้านไร่ และสวนป่าเอกชนและองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้อีก 5 ล้านไร่) ช่องว่างนี้คือโอกาสมหาศาล
“อันนี้แหละเป็นประเด็นที่ผมจะชี้ให้รัฐบาลบอกว่า เราสามารถที่จะสร้างสวนป่า สร้างอุตสาหกรรมป่าไม้ ในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ สร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน”
สส. มานพ กล่าวเน้น
อุปสรรคสำคัญ: กฎระเบียบ งบประมาณ และความจริงจัง
อย่างไรก็ตาม การจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ สส. มานพ ชี้ว่าประเทศไทยนำเข้าไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์จากไม้ปีละกว่า 140,179 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลที่ควรจะหมุนเวียนในประเทศหากเราสามารถผลิตเองได้ ปัญหาสำคัญคือการขาดความจริงจัง แผนงาน งบประมาณ และการสนับสนุนที่เพียงพอ รวมถึงการปรับแก้กฎระเบียบที่ล้าสมัย เช่น ในงบประมาณปี 2569 กรมป่าไม้ได้งบประมาณ 5,451 ล้านบาท แต่มีงบที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมป่าเศรษฐกิจโดยตรงเพียง 85 ล้านบาท เพื่อเพิ่มพื้นที่ 20,450 ไร่ ขณะที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ได้รับงบ 29 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมเกษตรกรปลูกไม้เศรษฐกิจปีละ 25,000 ไร่ จากตัวเลขงบประมาณและพื้นที่ส่งเสริมการปลูกป่าเศรษฐกิจของทั้ง 2 หน่วยงาน เปรียบเทียบกับเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศให้ได้ 16 ล้านไร่ จะเห็นได้ว่า ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะสร้างพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายได้ในช่วง1-2 ทศวรรษนี้
“มัวแต่กอดระเบียบ กอดกฎหมาย กอดอะไรไม่รู้ครับ ไม่ยอมที่จะพัฒนาตัวเอง ไม่ยอมที่จะมุ่งไปสู่การสร้างเศรษฐกิจในเรื่องนี้ครับท่านประธาน”
สส. มานพ วิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา
นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องสิทธิในที่ดินทำกินของประชาชนกว่า 32 ล้านไร่ที่ยังไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถพัฒนาพื้นที่ของตนเองเพื่อปลูกป่าเศรษฐกิจได้อย่างเต็มศักยภาพ

ข้อเสนอเชิงรุก: พลิกโฉมป่าไม้ไทย
จากปัญหาและข้อจำกัดด้านงบประมาณและกฏระเบียบของหน่วยงานภาครัฐ สส. มานพ ได้เสนอแนวทางแก้ไขที่ครอบคลุมหลายมิติ ดังนี้
- การปรับกระบวนทัศน์และงบประมาณ ด้วยการมองการสร้างป่าเศรษฐกิจ การสร้างรายได้ และการอนุรักษ์เป็นเรื่องเดียวกันที่ต้องทำควบคู่กันไป และ สส. มานพ เสนอว่า “ผมเสนอให้เอางบประมาณในการสร้างอาคาร งบประมาณอบรมสัมมนา ดูงาน ทำอีเวนต์นะครับ มาทุ่มทางนี้ครับ มาทุ่มในการสร้างป่าเศรษฐกิจ” ยกตัวอย่างงบประมาณกรมป่าไม้ปี 2569 จำนวน 5,451 ล้านบาท แต่มีงบสร้างป่าเศรษฐกิจเพียง 85 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอ
- การปลดล็อกกฎหมายและสิทธิในที่ดิน โดยเสนอให้
- แก้ไข พ.ร.บ. สวนป่า และกฎหมายที่ดินที่เกี่ยวข้อง เพื่อเอื้อให้ประชาชนและเอกชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการปลูกป่าเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้น
- แก้ไขปัญหาสิทธิในที่ดินของประชาชน 32 ล้านไร่ เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้อย่างถูกต้อง
- การส่งเสริมไม้เศรษฐกิจมูลค่าสูง ยกตัวอย่างไม้สัก ซึ่งมีศักยภาพสูง หากปลูก 12 ปี 1 ไร่ อาจสร้างรายได้ 22,400 บาท (ที่ราคา 2,900 บาท/ลูกบาศก์เมตร) และหากแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ มูลค่าอาจเพิ่มขึ้น 4 เท่า หรือกว่า 100,000 บาทต่อไร่ เพราะฉะนั้น หากสามารถพัฒนาพื้นที่ป่าเศรษฐกิจที่ขาดหายไป 16 ล้านไร่ จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ GDP ประเทศได้ถึง 130,000 ล้านบาทต่อปี หรือ GDP โตขึ้น 0.5%
- การเรียนรู้จากต่างประเทศและสร้างองค์ความรู้ เช่น ญี่ปุ่นมีพื้นที่ป่า 69% โดยเป็นสวนป่าเอกชนถึง 41% และสร้างรายได้มหาศาลจากอุตสาหกรรมป่าไม้ ในประเทศตะวันตกปัจจุบัน มีความนิยมในการสร้างอาคารสูงจากไม้ เช่น ในเมืองมัลโม สวีเดนมีการสร้างตึกสูง 11 ชั้นจากไม้
- ส่วนในแง่ของการสร้างองค์ความรู้ จำเป็นฟื้นฟูโรงเรียนป่าไม้ เพื่อสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และพื้นฟูช่างฝีมือในการแปรรูปไม้ และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง
- การสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ:
- การสร้างป่าเศรษฐกิจจะก่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่อง การจ้างงาน และอาชีพเฉพาะทาง เช่น ช่างไม้ สถาปนิก วิศวกรไม้
- เพิ่มพื้นที่สีเขียว ช่วยดูดซับคาร์บอน และส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ
- เป็นทางเลือกให้กับเกษตรกร ในการเปลี่ยนพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมทางการเกษตรและมีผลผลิตต่ำ ให้เป็นพื้นที่ปลูกไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าสูง และสามารถใช้เป็นหลักประกันทางสินเชื่อ และการตัดลดดอกเบี้ยและเงินต้นให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ และมีหนี้สินเรื้อรัง

อนาคตที่เป็นไปได้ ถ้ารัฐกล้าตัดสินใจและลงมือทำ
ข้อเสนอของ สส. มานพ คีรีภูวดล ชี้ให้เห็นว่าการลงทุนในป่าเศรษฐกิจและป่าอุตสาหกรรมไม่ใช่เพียงแค่การปลูกต้นไม้ แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของชาติ เป็นการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ต้องอาศัยความกล้าหาญในการตัดสินใจทางการเมือง การปรับเปลี่ยนกฎระเบียบที่ล้าสมัย การจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม และการสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
“เราเคยเป็นประเทศที่ส่งไม้ออก…ผมหวังว่าเราจะเป็นประเทศระดับต้นๆ นะครับ ที่จะส่งไม้ออกไปสู่ทั่วโลกครับ”
นี่คือความหวังและเป้าหมายที่ สส. มานพ ทิ้งท้ายไว้ ซึ่งหากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจัง ความฝันนี้ย่อมมีความเป็นไปได้ และผืนป่าจะกลับมาเป็นทรัพยากรและขุมทรัพย์ที่หล่อเลี้ยงคนไทยและสร้างชาติให้เข้มแข็งได้อย่างแท้จริง
อ้างอิงข้อมูลจาก
สส. มานพ คีรีภูวดล พรรคประชาชน จังหวัดเชียงใหม่ จากการอภิปรายร่าง พ.รบ.งบประมาณ 2569 ณ สภาผู้แทนราษฎร วันที่ 31 พฤษภาคม 2568
สามารถรับชมและฟัง การภิปรายของ สส.มานพ คีรีภูวดล ฉบับสมบูรณ์ได้ทาง