
เดชรัต สุขกำเนิด
สืบเนื่องจากแนวคิดในการพัฒนาสวนป่า หรือการเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจในประเทศไทย ที่ สส. มานพ คีรีภูวดล พรรคประชาชน ได้อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรในพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2569 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 บทความนี้ Think Forward Center จะขยายความว่า พัฒนาการทางเทคโนโลยีมีการนำไม้มาใช้ในการก่อสร้างอาคารสูงในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้อย่างมาก ทั้งยังทำให้เกิดการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานและเทคโนโลยีการแปรรูปไม้อีกด้วย
แนวโน้มการใช้ไม้สร้างอาคารในต่างประเทศ
แนวโน้มการใช้ไม้ในการก่อสร้างอาคาร โดยเฉพาะอาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่ มีการเติบโตอย่างชัดเจนในหลายประเทศทั่วโลก โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักคือความตระหนักถึงความยั่งยืนและเทคโนโลยีการผลิตไม้แปรรูปที่พัฒนาขึ้น ตัวอย่างแนวโน้มที่สำคัญ ได้แก่:
- การเติบโตของอาคารไม้สูง: ประเทศกลุ่มนอร์ดิก (เช่น สวีเดน ฟินแลนด์) แคนาดา ออสเตรเลีย และบางประเทศในยุโรป เป็นผู้นำในการพัฒนาและก่อสร้างอาคารไม้สูงหลายชั้น โดยมีการใช้เทคโนโลยี CLT และ LVL (Laminated Veneer Lumber) อย่างแพร่หลาย (จะอธิบายเพิ่มเติมในช่วงท้ายของบทความ
- การใช้ไม้ในอาคารประเภทต่างๆ: นอกเหนือจากอาคารที่พักอาศัย ไม้ยังถูกนำมาใช้ในอาคารสำนักงาน โรงเรียน โรงพยาบาล และอาคารสาธารณะอื่นๆ มากขึ้น
- การวิจัยและพัฒนา: มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไม้แปรรูป การออกแบบโครงสร้างไม้ และมาตรฐานความปลอดภัยของอาคารไม้
- นโยบายส่งเสริมการใช้ไม้: หลายประเทศได้มีการออกมาตรการและนโยบายเพื่อส่งเสริมการใช้ไม้ในการก่อสร้าง เช่น การให้เงินอุดหนุน การปรับปรุงกฎหมายและข้อบังคับให้เอื้อต่อการก่อสร้างด้วยไม้
- ความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ: มีความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างผู้ผลิตไม้ สถาปนิก วิศวกร ผู้รับเหมา และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อส่งเสริมการใช้ไม้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง
ตัวอย่างอาคารสูงจากโครงสร้างไม้ในสวีเดน
ตัวอย่างอาคารสูงในสวีเดน ที่ยกมาในวันนี้ มีชื่อ Fyrtornet หรือแปลว่าประภาคารครับ อาคารแห่งนี้เป็น อาคารสํานักงานที่ใช้ไม้สร้างที่สูงที่สุดในเมืองมัลโม สวีเดน ซึ่งเพิ่งเปิดในปี 2024 นี่เอง
ความโดดเด่นของอาคารนี้คือ นวัตกรรมในการนำไม้มาใช้ในการก่อสร้างอาคารสูง เช่น อาคาร 11 ชั้นแห่งนี้ และไม่ได้ใช้แค่เป็นส่วนประกอบ แต่เป็นโครงสร้างหลัก ถึง 94% เลยทีเดียว แม้กระทั่ง ช่องลิฟต์ก็ใช้โครงสร้างไม้ด้วยเช่นกัน
การใช้โครงสร้างไม้สำหรับอาคารสูงถือเป็นความท้าทายทางวิศวกรรมไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องการรับแรงลมด้านข้างที่แรงมาก การออกแบบเลยใช้ระบบพื้นกับคานเป็นแบบสองทิศทางเลย ทำให้ในภาพ ระยะห่างเสาจะค่อนข้างถี่หน่อย (ซึ่งเป็นข้อจำกัดของอาคารสูงโครงสร้างไม้) ประมาณ 4.8 * 4.8 เมตร แล้วตรงข้อต่อต่างๆ ก็ออกแบบพิเศษเสริมเหล็กเข้าไป โดยพยายามเลี่ยงคอนกรีตหรือเหล็กให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้มันตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืน
ส่วนผนังด้านนอกก็เป็นแผ่นไม้ซีดาร์ ทาสีแดงๆ คล้ายบ้านและอาคารที่นิยมกัยในสวีเดน ทำให้อาคารดูโดดเด่นมากขึ้น ซึ่งมีคุณสมบัติทนไฟด้วย และส่วนที่เป็นผนังกระจกสองชั้นข้างนอกเนี่ย อาคารแห่งนี้ ติดแผงโซล่าเซลล์ไปด้วยเลย แบบฝังเข้าไปเลย รวมแล้วได้พื้นที่โซลาร์เซลล์ถึง 600 ตารางเมตร
วงการสถาปนิกสวีเดนมองว่า ไม้คือวัสดุแห่งอนาคตเลย สำหรับการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ แล้วยังมีผลดีในเรื่องประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส คือไม้จะให้ความรู้สึกที่ดี อบอุ่น มีชีวิตชีวา เราจะพบว่า ที่อาคารแห่งนี้ มีคนเดินมาแล้วหยุด แล้วก็เอามือลูบผนังไม้ของอาคาร ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ คอนกรีตหรือเหล็กมันให้ไม่ได้

ภาพที่ 1 อาคารสูงโครงสร้างไม้ Fyrtornet ในเมืองมัลโม สวีเดน
ขณะเดียวกัน การทํางานกับไม้แบบนี้มันก็ส่งเสริมให้ทีมงานผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ด้านต้องมาหารือ และทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่แรกๆ เพราะการสร้างอาคารไม้สูงๆ ในที่โล่งแจ้ง โดยไม่การสร้างหลังคาคลุม ยังมีความท้าทายหลักเรื่อง ความชื้นในขณะก่อสร้าง ทีมงานต้องทํางานไปแข่งกับสภาพอากาศไป และต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านความชื้นมาคอยตรวจสอบสม่ําเสมอ แล้วก็มีเทคนิคเฉพาะเช่น การเคลือบแว็กซ์ที่ปลายเสา หรือเมื่อติดตั้งอะไรเสร็จก็ต้องเอาเทปมาปิดรอยต่อทันทีเลย เพื่อกันความชื้นเข้าไปสะสมในเนื้อไม้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์และองค์ความรู้ที่สะสมได้จากก่อสร้างอาคารนี้
เฟอร์โทเน็ตไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นแค่ออฟฟิศทำงาน แต่ยังคิดถึงผู้คนและชุมชนรอบข้างด้วย โดยชั้นล่างสุด ออกแบบให้เป็นพื้นที่สาธารณะ เปิดโล่ง เหมือนเป็น “ห้องนั่งเล่นของเมือง” ให้ใครๆ ก็สามารถเข้ามาใช้งานได้ ชั้นสองมีห้องสมุดท้องถิ่น ส่วนออฟฟิศจะอยู่ชั้นที่ 3-11 นอกจากวิวจะสวยแล้ว และตกแต่งภายในด้วยไม้เยอะมาก ทำให้รู้สึกอบอุ่น น่าทำงาน หรือแม้แต่สวนบนดาดฟ้าให้ขึ้นไปชมวิวสวนได้ด้วยด้วย สุดท้าย ตัวตึกยังเชื่อมต่อกับอาคารข้างเคียง ซึ่งมีร้านอาหารและบริการอื่นๆ เปิดให้ทุกคนใช้ได้ คือเขาตั้งใจสร้างให้เป็นเหมือน “ระบบนิเวศ” ของย่านนั้นเลย ไม่ใช่แค่ตึกเดี่ยวๆ

ภาพที่ 2 บรรยากาศภายในอาคารสูงโครงสร้างไม้ Fyrtornet
Fyrtornet จึงไม่ใช่แค่ตึกไม้ที่สูงที่สุดธรรมดาๆ แต่มันเป็นประภาคารที่ฉายทิศทางการสร้างอาคารในยุคใหม่ ที่ผสมผสานนวัตกรรม ความยั่งยืน และการออกแบบที่คิดถึงผู้คนและสังคม เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว กลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ที่น่าภาคภูมิใจของเมืองมัลเมอ และยังมีส่วนช่วยให้วัสดุธรรมชาติอย่างไม้กลับมามีบทบาทสำคัญในสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่อีกครั้ง
ผลกระทบเชิงบวกด้านสิ่งแวดล้อม
สาเหตุสำคัญที่โครงสร้างอาคารไม้ กำลังเป็นนิยมมากขึ้นในหลายประเทศ เพราะการสร้างอาคารไม้มีข้อดี หรือมีผลกระทบเชิงบวกด้านสิ่งแวดล้อมในหลายประการ ได้แก่
- การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก:
- การกักเก็บคาร์บอน (Carbon Sequestration): ไม้เป็นวัสดุเดียวที่สามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้ โดยทั่วไปแล้ว เนื้อไม้ 1 ลูกบาศก์เมตร (m³) สามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 0.9 – 1 ตัน (ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของไม้) ตลอดอายุการใช้งานของอาคาร
- การลดการปล่อยจากการผลิต (Embodied Carbon Reduction): เมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุก่อสร้างทั่วไปเช่น คอนกรีตและเหล็ก การผลิตไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ไม้วิศวกรรม (Engineered Wood) ใช้พลังงานน้อยกว่ามาก ส่งผลให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า
- เปรียบเทียบกับคอนกรีต: โครงสร้างไม้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ 20% – 60% หรือมากกว่า เมื่อเทียบกับโครงสร้างคอนกรีตที่มีขนาดและการใช้งานใกล้เคียงกัน บางงานวิจัยระบุว่าการแทนที่คอนกรีตด้วยไม้ในอาคารขนาดกลาง อาจลดการปล่อย CO2 ได้หลายร้อยตัน
- เปรียบเทียบกับเหล็ก: การผลิตเหล็กปล่อย CO2 สูงกว่าการผลิตไม้มาก บางการศึกษาชี้ว่าไม้ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าเหล็ก 3-5 เท่า ในแง่ของพลังงานที่ใช้ในการผลิตต่อหน่วยน้ำหนัก
- มีการประมาณการณ์ว่า อาคารไม้ขนาดกลาง (เช่น อาคารสำนักงาน 5 ชั้น) ที่ใช้ไม้เป็นโครงสร้างหลัก อาจช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เทียบเท่ากับการนำรถยนต์หลายร้อยคันออกจากถนนเป็นเวลาหนึ่งปี
- การลดของเสียที่ไม่สามารถย่อยสลายได้:
- ความสามารถในการย่อยสลายทางชีวภาพ (Biodegradability): ไม้เป็นวัสดุธรรมชาติ สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติเมื่อหมดอายุการใช้งาน ซึ่งแตกต่างจากคอนกรีต เหล็ก หรือพลาสติก ที่คงอยู่ในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลานานหากไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี
- การลดของเสียจากหน้างาน (Construction Waste): การก่อสร้างด้วยระบบไม้สำเร็จรูป (Prefabricated Wood Systems) สามารถลดของเสียที่หน้างานก่อสร้างได้มากถึง 50% – 80% เนื่องจากชิ้นส่วนต่างๆ ถูกผลิตและตัดแต่งให้พอดีมาจากโรงงาน
- ศักยภาพในการนำกลับมาใช้ใหม่และรีไซเคิล (Reusability and Recyclability): ไม้จากอาคารเก่าสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (Reclaimed Wood) หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ไม้อื่นๆ เช่น ไม้ปาร์ติเกิล (Particle Board) หรือใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวมวลได้ ซึ่งช่วยลดปริมาณของเสียที่ต้องนำไปฝังกลบ
- การประหยัดพลังงาน:
- พลังงานในการผลิตต่ำ (Low Embodied Energy): ดังที่กล่าวไปข้างต้น ไม้ใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่าวัสดุอื่นมาก
- ไม้แปรรูป (Sawn Timber) ใช้พลังงานประมาณ 0.5 – 1.5 GJ/ตัน
- เหล็ก ใช้พลังงานประมาณ 30 – 60 GJ/ตัน
- คอนกรีต ใช้พลังงานประมาณ 3 – 7 GJ/ตัน (แต่ปริมาณการใช้งานมักจะสูงกว่าไม้มาก)
- คุณสมบัติเป็นฉนวนความร้อน (Thermal Insulation): ไม้มีค่าการนำความร้อนต่ำกว่าคอนกรีตและเหล็กมาก ทำให้เป็นฉนวนกันความร้อนที่ดีโดยธรรมชาติ
- ผนังไม้สามารถช่วยลดการสูญเสียความร้อนในฤดูหนาว และลดการเพิ่มความร้อนในฤดูร้อน ส่งผลให้ประหยัดพลังงานสำหรับระบบทำความร้อนและความเย็นได้ประมาณ 10% – 30% หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับการออกแบบอาคาร ความหนาของผนัง และสภาพภูมิอากาศ
- โครงสร้างไม้สามารถช่วยลดปัญหา “สะพานความร้อน” (Thermal Bridging) ที่มักเกิดขึ้นในโครงสร้างเหล็กหรือคอนกรีต
- การประหยัดพลังงานตลอดวงจรชีวิต (Life Cycle Energy Savings): เมื่อรวมพลังงานที่ใช้ในการผลิต การขนส่ง การก่อสร้าง การใช้งาน (การทำความร้อน/ความเย็น) และการรื้อถอน อาคารไม้มักจะแสดงให้เห็นถึงการใช้พลังงานโดยรวมที่ต่ำกว่า
- พลังงานในการผลิตต่ำ (Low Embodied Energy): ดังที่กล่าวไปข้างต้น ไม้ใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่าวัสดุอื่นมาก
ผลกระทบด้านบวกต่อสุขภาพ
นอกเหนือจากผลประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อมแล้ว การใช้วัสดุไม้ในอาคารสามารถส่งผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้ใช้งานได้หลายประการ หรือที่เรียกว่า “Biophilic Design” ซึ่งคือแนวคิดการออกแบบที่เชื่อมโยงมนุษย์เข้ากับธรรมชาติ ได้แก่
- ด้านสุขภาพจิตและอารมณ์ (Psychological & Emotional Well-being):
- ลดความเครียด: การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการมองเห็นหรือสัมผัสพื้นผิวไม้ สามารถช่วยลดระดับความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ และระดับคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ได้
- เพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายและสงบ: ไม้สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น เป็นธรรมชาติ และเชิญชวน ช่วยให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจมากขึ้น
- ส่งเสริมสมาธิและประสิทธิภาพการทำงาน/การเรียนรู้: สภาพแวดล้อมที่มีองค์ประกอบของไม้สามารถช่วยเพิ่มสมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ และประสิทธิภาพในการทำงานหรือการเรียนได้
- เพิ่มความพึงพอใจในสภาพแวดล้อม: ผู้คนมักแสดงความพึงพอใจต่อพื้นที่ภายในอาคารที่มีการใช้วัสดุไม้มากกว่า
- ด้านคุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality – IAQ):
- การควบคุมความชื้น: ไม้มีคุณสมบัติดูดซับและคายความชื้น (Hygroscopic) ช่วยปรับสมดุลความชื้นในอากาศภายในอาคาร ลดความเสี่ยงของปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความชื้นสูงหรือต่ำเกินไป เช่น การเจริญเติบโตของเชื้อรา หรืออาการตาแห้ง จมูกแห้ง
- การปล่อยสารอินทรีย์ระเหยง่ายต่ำ (Low VOCs): ไม้ธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ไม้ที่ไม่ใช้กาวหรือสารเคลือบที่มีสารพิษ จะปล่อยสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ในระดับต่ำมาก เมื่อเทียบกับวัสดุสังเคราะห์บางชนิด ซึ่งดีต่อระบบทางเดินหายใจ (อย่างไรก็ตาม ควรเลือกใช้ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่ได้รับการรับรองว่ามี VOCs ต่ำ)
- ไม่มีการปล่อยฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde-free options): แม้ว่าผลิตภัณฑ์ไม้ประกอบบางชนิดในอดีตอาจมีฟอร์มาลดีไฮด์ แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการผลิตที่ใช้กาวที่ไม่มีส่วนผสมของฟอร์มาลดีไฮด์ หรือมีในระดับที่ปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
- ด้านสรีรวิทยา (Physiological Benefits):
- การสัมผัสที่เป็นมิตร: พื้นผิวไม้ให้ความรู้สึกอุ่นและสบายเมื่อสัมผัส แตกต่างจากความเย็นของโลหะหรือหิน
- คุณสมบัติทางเสียงที่ดี (Acoustic Properties): ไม้ช่วยดูดซับเสียงและลดเสียงสะท้อน ทำให้สภาพแวดล้อมทางเสียงภายในอาคารน่าอยู่ขึ้น ลดความดังของเสียงรบกวน ซึ่งส่งผลดีต่อการพักผ่อนและการสื่อสาร
- ด้านการฟื้นตัวจากความเจ็บป่วย (Recovery from Illness):
- มีงานวิจัยบางชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าผู้ป่วยที่พักฟื้นในห้องที่มีองค์ประกอบของไม้หรือมองเห็นทิวทัศน์ธรรมชาติ อาจมีระยะเวลาพักฟื้นที่สั้นลงและต้องการยาแก้ปวดน้อยลง (แม้ว่างานวิจัยด้านนี้ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม)

ภาพที่ 3 บรรยากาศอบอุ่นภายในอาคาร Fyrtornet
ความท้าทายในการนำไม้มาใช้เป็นวัสดุก่อสร้างอาคาร และแนวทางการแก้ไข
แม้ว่าการใช้ไม้เป็นโครงสร้างอาคารสูงจะเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในต่างประเทศ แต่สำหรับประเทศไทย การนำไม้มาใช้เป็นวัสดุก่อสร้างอาคารก็ยังมีความท้าทายหลายประการที่ต้องแก้ไขปรับปรุงและก้าวข้ามพ้นให้ได้ ดังนี้
- ความกังวลเกี่ยวกับความแข็งแรงและความทนทาน: แม้ว่าเทคโนโลยีไม้แปรรูปจะพัฒนาไปมาก แต่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความแข็งแรง ความทนทานต่อสภาพอากาศ และอายุการใช้งานของโครงสร้างไม้ แนวทางการแก้ไขคือ:
- การใช้ไม้ที่มีคุณภาพและผ่านการรับรองมาตรฐาน: เลือกใช้ไม้ที่ได้รับการจัดการอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพตามมาตรฐาน
- การออกแบบโครงสร้างที่เหมาะสม: ออกแบบโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างไม้ โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมและการใช้งาน
- การใช้เทคโนโลยีการเคลือบผิวและการป้องกัน: ใช้เทคโนโลยีการเคลือบผิวและการป้องกันที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มความทนทานต่อสภาพอากาศ แมลง และเชื้อรา
- ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยจากอัคคีภัย: ไม้เป็นวัสดุที่ติดไฟได้ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยจากอัคคีภัย แนวทางการแก้ไขคือ:
- การใช้ไม้ที่ไม่ลามไฟ (Fire-retardant treated wood): มีการพัฒนาเทคโนโลยีการปรับปรุงคุณสมบัติไม้ให้มีคุณสมบัติไม่ลามไฟ
- การออกแบบระบบป้องกันอัคคีภัยที่มีประสิทธิภาพ: ติดตั้งระบบดับเพลิง สัญญาณเตือนภัย และทางหนีไฟที่ได้มาตรฐาน
- การแบ่งพื้นที่และวัสดุที่ไม่ติดไฟ: ออกแบบอาคารโดยมีการแบ่งพื้นที่ด้วยวัสดุที่ไม่ติดไฟเพื่อชะลอการลุกลามของไฟ
- การให้ความรู้และความเข้าใจ: สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพฤติกรรมการติดไฟของโครงสร้างไม้ และมาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง
- ความพร้อมของอุตสาหกรรมและการผลิต: การผลิตไม้แปรรูปคุณภาพสูง เช่น CLT และ LVL อาจยังมีข้อจำกัดในบางประเทศ รวมถึงประเทศไทย แนวทางการข้ามพ้นคือ:
- การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตไม้แปรรูป: สนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีและโรงงานผลิตไม้แปรรูปที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
- การสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: ทำงานร่วมกับสถาปนิก วิศวกร ผู้เชี่ยวชาญด้านไม้ และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อพัฒนาแนวทางและมาตรฐานที่เหมาะสม
- การพัฒนาบุคลากรและทักษะ: พัฒนาบุคลากรที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในการออกแบบ การผลิต และการก่อสร้างด้วยไม้
- ทัศนคติและความเชื่อมั่น: ในบางครั้ง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมก่อสร้างอาจยังไม่คุ้นเคยหรือไม่มั่นใจในการใช้ไม้เป็นวัสดุก่อสร้างหลัก แนวทางการข้ามพ้นคือ:
- การสร้างความตระหนักและการให้ความรู้: เผยแพร่ข้อมูลและกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการก่อสร้างด้วยไม้
- การส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนา: สนับสนุนงานวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการก่อสร้างด้วยไม้
- การสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ: สร้างเครือข่ายระหว่างผู้เชี่ยวชาญ สถาปนิก วิศวกร และผู้ผลิตไม้ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์
เอกสารอ้างอิง
Deeside Timberframe, 2024. Achieving Energy Efficiency with Timber Frame Buildings https://www.deesidetimberframe.com/news/achieving-energy-efficiency-with-timber-frame-buildings/
Exova UK Ltd, 2018. Timber and healthy buildings: indoor air quality. https://asbp.org.uk/wp-content/uploads/2019/03/Timber-and-healthy-buildings-indoor-air-quality.pdf
Logan K., 2025. Wingårdhs Crafts a Striking Timber Tower in a Growing Sustainability District in Malmö, Sweden, in Architectural Record. https://www.architecturalrecord.com/articles/17511-wingardhs-crafts-a-striking-timber-tower-in-a-growing-sustainability-district-in-malmo-sweden
Osama Abdelfattah Hegeir, et al. 2022 Comparative Life Cycle Analysis of Timber, Steel and Reinforced Concrete Portal Frames: A Theoretical Study on a Norwegian Industrial Building, in Building, https://www.researchgate.net/publication/360258017_Comparative_Life_Cycle_Analysis_of_Timber_Steel_and_Reinforced_Concrete_Portal_Frames_A_Theoretical_Study_on_a_Norwegian_Industrial_Building
Swedish Wood, 2024. Advanced frame brings colour to the city. https://www.swedishwood.com/about_us/news/2024/12/advanced-frame-brings-colour-to-the-city/
Valeria Montjoy, 2022. The Biophilic Response to Wood: Can it Promote the Wellbeing of Building Occupants? in ArchDaily https://www.archdaily.com/974790/the-biophilic-response-to-wood-can-it-promote-the-wellbeing-of-building-occupants
ภาคผนวก
ข้อมูลพื้นฐานของเทคโนโลยีอาคารไม้
CLT (Cross-Laminated Timber) และ LVL (Laminated Veneer Lumber)
จากที่บทความด้านบนได้กล่าวถึงเทคโนโลยีอาคารไม้แบบ CLT (Cross-Laminated Timber) และ LVL (Laminated Veneer Lumber) ไว้ ในภาคผนวกจึงขอขยายความเป็นพื้นฐานความเข้าใจไว้ ดังนี้
1. Cross-Laminated Timber (CLT) – ไม้ประสานไขว้ชั้น:
แนวคิดพื้นฐานของ CLT คือการนำแผ่นไม้จริง (Solid-Sawn Lumber) ที่ผ่านการอบแห้งและคัดเกรดแล้ว มาวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ โดยแต่ละชั้นจะวางแนวเสี้ยนไม้ให้ทำมุมตั้งฉาก (โดยทั่วไปคือ 90 องศา) กับชั้นที่อยู่ติดกัน จากนั้นจึงนำมาอัดประสานกันด้วยกาวโครงสร้างภายใต้แรงดันสูง
หลักการทำงานและคุณสมบัติที่สำคัญ:
- การวางแนวเสี้ยนไม้แบบไขว้: การวางแนวเสี้ยนไม้สลับทิศทางในแต่ละชั้น ทำให้แผ่น CLT มีความแข็งแรงและรับแรงได้ดีในทุกทิศทางคล้ายกับแผ่นคอนกรีตสองทิศทาง (Two-way Slab) แต่มีน้ำหนักเบากว่ามาก
- จำนวนชั้น: โดยทั่วไป CLT มักมีจำนวนชั้นเป็นเลขคี่ (เช่น 3, 5, 7 ชั้น) เพื่อให้เกิดความสมดุลในการรับแรงและการหดตัว/ขยายตัวของไม้
- ความหนาและขนาด: สามารถผลิต CLT ให้มีความหนาและขนาดต่างๆ กันได้ ขึ้นอยู่กับการออกแบบและการใช้งาน ทำให้มีความยืดหยุ่นในการนำไปใช้เป็นผนัง พื้น หรือหลังคา
- ความแข็งแรงและมั่นคง: CLT มีความแข็งแรงสูง สามารถรับน้ำหนักได้มาก และมีความมั่นคงทางโครงสร้างที่ดี
- ความเป็นฉนวน: มีคุณสมบัติเป็นฉนวนความร้อนและเสียงที่ดี
- ความต้านทานไฟ: แม้ว่าไม้จะเป็นวัสดุที่ติดไฟได้ แต่ CLT มีมวลเนื้อไม้ที่หนาแน่น เมื่อเกิดไฟไหม้ ผิวชั้นนอกจะเกิดการไหม้เกรียมเป็นชั้นฉนวน (Char Layer) ที่ช่วยชะลอการลุกลามของไฟเข้าสู่เนื้อไม้ด้านใน ทำให้โครงสร้างยังคงความแข็งแรงได้นานพอสมควร
- การผลิตแบบสำเร็จรูป: สามารถผลิตและตัดแผ่น CLT ให้ได้ขนาดและมีช่องเปิดตามที่ต้องการจากโรงงาน ทำให้การติดตั้งที่หน้างานทำได้รวดเร็วและมีของเสียน้อย

ภาพที่ 4 ไม้ประสานไขว้ชั้น
ภาพจาก https://cnr.ncsu.edu/news/2022/08/5-benefits-cross-laminated-timber/
2. Laminated Veneer Lumber (LVL) – ไม้อัดวีเนียร์แนวเดียวกัน:
แนวคิดพื้นฐานของ LVL คือการนำแผ่นไม้วีเนียร์ (Veneer) บางๆ ที่ได้จากการปอกเปลือกไม้ซุง หรือการฝานไม้ มาวางซ้อนกันโดยให้แนวเสี้ยนไม้ในทุกแผ่นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จากนั้นจึงนำมาอัดประสานกันด้วยกาวโครงสร้างภายใต้ความร้อนและแรงดันสูง
หลักการทำงานและคุณสมบัติที่สำคัญ:
- การวางแนวเสี้ยนไม้แบบเดียวกัน: การวางแนวเสี้ยนไม้ไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้ LVL มีความแข็งแรงสูงมากในการรับแรงตามแนวขนานกับเสี้ยนไม้ เหมาะสำหรับชิ้นส่วนโครงสร้างที่รับแรงดัดและแรงเฉือนเป็นหลัก เช่น คาน เสา หรือส่วนประกอบของโครงทรัส
- ความสม่ำเสมอของเนื้อไม้: กระบวนการผลิต LVL ช่วยกระจายตำหนิตามธรรมชาติของไม้ เช่น ตาไม้ ออกไป ทำให้เนื้อไม้มีความสม่ำเสมอและมีกำลังรับแรงที่คาดการณ์ได้
- ความแข็งแรงต่อน้ำหนัก: LVL มีอัตราส่วนความแข็งแรงต่อน้ำหนักที่สูง ทำให้สามารถรับน้ำหนักมากได้โดยมีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก
- ผลิตได้ยาว: สามารถผลิต LVL ให้มีความยาวมากๆ ได้ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบกว่าไม้แปรรูปทั่วไปที่มีข้อจำกัดด้านความยาวของท่อนซุง
- ความเสถียร: LVL มีความเสถียรสูง ไม่บิดงอ หรือโก่งตัวง่าย เนื่องจากกระบวนการผลิตช่วยลดผลกระทบจากการหดตัวและขยายตัวของไม้

ภาพที่ 5 ไม้อัดวีเนียร์แนวเดียวกัน
ภาพจาก https://www.canterburytimbers.com.au/blogs/news/features-of-laminated-veneer-lumber-lvl
ความแตกต่างหลักระหว่าง CLT และ LVL:
- แนวการวางเสี้ยนไม้: CLT วางแนวเสี้ยนไม้แบบไขว้ชั้น ทำให้รับแรงได้ดีในหลายทิศทาง เหมาะสำหรับแผ่นพื้น ผนัง และหลังคา ส่วน LVL วางแนวเสี้ยนไม้ไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้มีความแข็งแรงสูงในการรับแรงตามแนวยาว เหมาะสำหรับคาน เสา และชิ้นส่วนรับแรงดัด
- ลักษณะการใช้งาน: CLT มักใช้เป็นแผ่นโครงสร้างขนาดใหญ่ ในขณะที่ LVL มักใช้เป็นชิ้นส่วนโครงสร้างที่มีลักษณะเป็นเส้นหรือแผ่นยาว