Think Forward Center
ชุดนโยบาย “สวัสดิการไทยก้าวหน้า” ของพรรคก้าวไกล คือ การประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่า หากเราเป็นรัฐบาล เป้าหมายหลักของเราคือการสร้างระบบสวัสดิการถ้วนหน้า-ครบวงจร ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนตั้งแต่เกิดจนแก่ เพื่อตัดวงจรความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงเรื้อรัง ปลดล็อกศักยภาพของประชาชน และสร้างสังคมที่พร้อมเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขซึ่งกันและกันในการเผชิญกับโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ระบบสวัสดิการจะช่วยให้คนไทยทุกช่วงวัย ตั้งแต่เกิด-เติบโต-ทำงาน-สูงวัย ใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องกังวลใจกับอนาคตข้างหน้า ไม่ต้องพะวงถึงคนข้างหลัง สามารถเดินตามความฝัน แสวงหาความสุข และประสบความสำเร็จได้ตามศักยภาพ ไม่ถูกจำกัดด้วยฐานะทางเศรษฐกิจ
เพราะรัฐสวัสดิการ จะสร้าง “ตาข่ายรองรับ” คุณภาพชีวิตและโอกาสที่เท่าเทียมกันของประชาชนทุกคน ลดความเหลื่อมล้ำที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และยังเป็น “กุญแจปลดล็อก” ศักยภาพของมนุษย์และมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เปรียบเหมือน ‘เตียงสปริง’ ที่ประชาชนล้มลงไปก็ไม่เจ็บ แถมยังเด้งกลับขึ้นมาได้ไกลกว่าเดิม
ระบบสวัสดิการของพรรคก้าวไกล ถูกออกแบบบนหลักคิดว่า
- สวัสดิการควรถ้วนหน้า เพื่อป้องกันการตกหล่น และเพื่อให้ถูกมองเป็นสิทธิที่ประชาชนพึงได้รับ
- สวัสดิการควรมีทั้งในรูปแบบที่เป็นตัวเงินสด และรูปแบบของสิ่งของหรือบริการสาธารณะ
- สวัสดิการต้องทำได้จริง มีงบประมาณเพียงพอ ไม่เพิ่มภาระทางการคลังที่ไปตกแก่ลูกหลาน
โดยระบบสวัสดิการของพรรคก้าวไกล จะสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชนทุกคน ในทุกวันที่อยู่บนโลกใบนี้ ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตา จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต :
“เกิด”
- ของขวัญแรกเกิด 3,000 บาท ให้พ่อ-แม่ซื้อสิ่งของจำเป็นในการเลี้ยงลูก
- เงินเด็กเล็ก เดือนละ 1,200 บาท
- สิทธิลาคลอด 180 วัน พ่อแม่แบ่งกันได้
- ศูนย์เลี้ยงเด็กใกล้บ้าน-ที่ทำงาน
“เติบโต”
- เรียนฟรี อาหารฟรี มีรถรับส่ง
- คูปองเปิดโลก ให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้นอกห้องเรียน
- ผ้าอนามัยไม่เก็บ VAT แจกฟรีในโรงเรียน
“ทำงาน”
- ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นทุกปี เริ่มต้นวันละ 450 บาท รัฐช่วย SME 6 เดือนแรก
- สัญญาจ้างเป็นธรรม ทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
- แรงงานทุกกลุ่มตั้งสหภาพได้ สอดคล้องหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)
- ประกันสังคมถ้วนหน้า เจ็บป่วยได้เงินชดเชย-ค่าเดินทางหาหมอ
- เรียนเสริมทักษะ-เปลี่ยนอาชีพ ฟรีไม่จำกัดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ สมทบด้วยคูปองเรียนเสริม
“สูงวัย”
- เงินผู้สูงวัยเดือนละ 3,000 บาท สร้างระบบดูแลผู้ป่วยติดเตียง
- ค่าทำศพถ้วนหน้า 10,000 บาท
“ทุกอายุ”
- บ้านตั้งตัว 350,000 หลัง
- น้ำประปาดื่มได้ทุกพื้นที่
- เติมเงินให้ท้องถิ่น เพิ่มขนส่งสาธารณะ
- เติมเน็ตฟรี 1 GB ต่อเดือน
- เงินคนพิการเดือนละ 3,000 บาท
เราขอชวนมาดูรายละเอียด ว่าเมื่อเราได้เป็นรัฐบาล “สวัสดิการไทยก้าวหน้า” ที่จะสร้างให้คนแต่ละช่วงวัย มีอะไรบ้าง
สวัสดิการ: เกิด
ปัจจุบันอัตราการเกิดของประเทศไทยลดลงอย่างมาก จากที่เคยอยู่ในระดับปีละ 800,000 คนในช่วงปี 2546-2554 ลดลงเหลือเพียง 544,570 คนในปี 2564 ยิ่งไปกว่านั้น 2564 นับเป็นปีแรกตั้งแต่มีการเก็บสถิติ ที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศ น้อยกว่าจำนวนคนที่เสียชีวิต ซึ่งตอกย้ำถึงวิกฤตสังคมสูงวัยที่สัดส่วนคนวัยทำงานมีแนวโน้มจะลดลงอย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่หลายคน ตัดสินใจมีลูกน้อยลง มีส่วนมาจากความกังวลเรื่องภาระค่าใช้จ่ายและสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการมีบุตร ซึ่งถูกสะท้อนออกมาผ่านความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรการเลี้ยงดูลูก (เช่น นมแม่ โภชนาการ หนังสือนิทาน)
พรรคก้าวไกลจึงต้องการยกระดับสวัสดิการในช่วงวัย “เกิด” เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและภาวะความยากจนของครัวเรือนที่มีเด็กเล็ก และเพื่อให้เด็กเล็กทุกคน โดยเฉพาะอายุ 0-6 ปี (ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของพัฒนาการเด็ก) ได้เติบโตอย่างสมวัย ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และการเรียนรู้ ผ่านนโยบายดังนี้
- ของขวัญแรกเกิด 3,000 บาท
– แจกคูปองให้พ่อแม่ของเด็กเกิดใหม่ มูลค่า 3,000 บาท เพื่อนำไปแลกซื้อสิ่งของสำหรับพัฒนาการเด็ก จากรายการสินค้าที่มีให้เลือกจำนวนมาก (เช่น อุปกรณ์สำหรับเลี้ยงเด็ก อุปกรณ์พัฒนาทักษะ หนังสือนิทาน) - เงินเด็กเล็กเดือนละ 1,200 บาท
– เพิ่มและขยายเงินอุดหนุนครอบครัวที่มีเด็กเล็ก 0-6 ปี มาเป็นเงินเด็กเล็กเดือนละ 1,200 บาท โดยให้ทุกคนแบบถ้วนหน้าไม่ตกหล่น ซึ่งต่างจากเดิมที่รัฐจัดสรรให้เพียงเดือนละ 600 บาทต่อคน สำหรับคนที่เข้าเกณฑ์และลงทะเบียนเข้ามา (ซึ่งทำให้เกิดการตกหล่นของเด็กในครอบครัวที่ยากจนประมาณ 30% ที่ไม่ได้รับเงินในส่วนนี้) - สิทธิลาคลอด 180 วัน พ่อแม่แบ่งกันได้
– ขยายสิทธิลาคลอดจากปัจจุบัน (98 วัน) เพิ่มเป็น 180 วัน ซึ่งสอดคล้องกับหลักสากลขององค์การอนามัยโลกและกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ที่กำหนดให้บุตรควรได้รับนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด
– แรงงานในระบบประกันสังคมที่มีผู้ว่าจ้าง จะได้รับค่าตอบแทนทั้ง 180 วัน โดยจะเป็นการร่วมกันรับผิดชอบระหว่างผู้ว่าจ้างและกองทุนประกันสังคม
– แรงงานที่ยังไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม และถูกนำเข้ามาเป็นแรงงานที่ไม่มีผู้ว่าจ้างในระบบประกันสังคมถ้วนหน้า จะได้รับเงินสนับสนุนในการลาคลอด 5,000 บาท/เดือน เป็นเวลา 6 เดือน
– พ่อแม่สามารถแบ่งวันลาได้ตามความสะดวก หรือใช้ร่วมกัน เช่น แม่ลา 5 เดือน พ่อใช้อีก 1 เดือน เพื่อช่วยแบ่งเบาการทำหน้าที่และร่วมกันดูแลลูกในช่วง 1 เดือนแรก - ศูนย์เลี้ยงเด็กใกล้บ้าน-ที่ทำงาน
– เพิ่มงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นำไปบริหารจัดการเกี่ยวกับการดูแลเด็กเล็กในรูปแบบที่เหมาะสมกับพื้นที่ของตน ตั้งแต่การเพิ่มมาตรฐานศูนย์ให้เหมาะกับเด็กเล็ก (เช่น ห้องน้ำ โต๊ะ เก้าอี้ ขนาดที่เหมาะสมกับเด็ก ห้องเรียนปูพื้นยาง/หุ้มนวมลบเหลี่ยมมุมเสาป้องกันอุบัติเหตุ) การเพิ่มสัดส่วนผู้เลี้ยงดูเด็กต่อจำนวนเด็กเล็ก การอุดหนุนสถานเลี้ยงดูเด็กของเอกชน หรือนำไปจ่ายเป็นเงินรายหัวเพิ่มเติมให้กับครอบครัวที่มีเด็กเล็กได้
– ใช้กลไกของ พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร และ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน กำหนดให้อาคารสำนักงานและสถานประกอบการขนาดใหญ่จำเป็นต้องจัดให้มีสถานที่เลี้ยงดูเด็กเล็กและสิ่งที่เกี่ยวข้อง (เช่น ห้องปั๊มนม) ในหรือใกล้อาคารสำนักงานหรือสถานประกอบการ เพื่อความสะดวกต่อการดูแลบุตรของพ่อแม่
สวัสดิการ: เติบโต
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างแต่ละครัวเรือน ทำให้เด็กและเยาวชนของไทยเข้าถึงการศึกษาและช่องทางการเรียนรู้ – ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน – ในระดับและคุณภาพที่แตกต่างกัน ยังไม่นับการต้องแบกรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน ที่เพิ่มขึ้นตามวัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การตกหล่นจากระบบการศึกษาหรือการเข้าถึงการเรียนรู้อย่างไม่เท่าเทียมกัน ไม่เพียงแต่จะนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของคนรุ่นถัดไป (หรือที่เรียกว่า ความเหลื่อมล้ำข้ามรุ่น) เท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงในปัญหาทางสังคมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการว่างงาน การท้องไม่พร้อม หรือยาเสพติดและอาชญากรรม
พรรคก้าวไกลจึงต้องการยกระดับสวัสดิการของเด็กและเยาวชนในช่วงวัย “เติบโต” เพื่อเป็นตาข่ายรองรับที่ป้องกันการตกหล่นทางการศึกษาอันเนื่องมาจากความยากลำบากทางเศรษฐกิจ และเพื่อเป็นสปริงบอร์ดให้เด็กและเยาวชนของไทยสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพและความต้องการของตน
- เรียบฟรี อาหารฟรี มีรถรับส่ง
– เพิ่มงบกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จำนวน 4,000 ล้านบาท เพื่อป้องกันการตกหล่นทางการศึกษา และเพิ่มกลไกอื่น ๆ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อให้เยาวชนที่ตกหล่นจากระบบการศึกษาสามารถกลับเข้าสู่ระบบหรือเข้าถึงช่องทางการศึกษาที่เหมาะสมกับตนเองได้
– ปรับสูตรคำนวณเงินรายหัวนักเรียนใหม่ เพื่อให้โรงเรียนขนาดเล็กมีงบประมาณเพียงพอที่จะจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– เพิ่มงบประมาณรายหัวนักเรียนในส่วนของค่าอาหาร ตั้งแต่ระดับประถมถึงมัธยมปลาย (รวมถึง ปวช.) เฉลี่ยประมาณ 500 บาท/เดือน
– เพิ่มงบประมาณรายหัวนักเรียนในส่วนของค่าเดินทาง ระดับประถม 200 บาท/เดือน ระดับมัธยม 300 บาท/เดือน - คูปองเปิดโลก
– แจกคูปองพัฒนาการเรียนรู้ตามช่วงวัย แบ่งเป็น ระดับประถมปีละ 1,000 บาท ระดับมัธยมปีละ 1,500 บาท ระดับอุดมศึกษาปีละ 2,000 บาท เพื่อใช้สำหรับการเรียนรู้ กิจกรรมสร้างสรรค์ และกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ
– สนับสนุน อปท. และชุมชน รวมถึงภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ในการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ และสื่อการเรียนรู้ที่ร่วมสมัยในแต่ละท้องถิ่น - ผ้าอนามัยไม่เก็บ VAT แจกฟรีในโรงเรียน
– ลดภาระค่าใช้จ่ายผู้มีประจำเดือน โดยการยกเลิกการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในสินค้าหมวดหมู่ผ้าอนามัยและของใช้สิ้นเปลืองสำหรับวัยเจริญพันธุ์
– นำร่องแจกผ้าอนามัยฟรีในสถานศึกษาและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนผ้าอนามัยและความจนประจำเดือน (หรือ Period Poverty) โดยเฉพาะสำหรับผู้มีประจำเดือนในวัย 10-25 ปี
สวัสดิการ: ทำงาน
คนทำงานและแรงงานทุกคนเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ระบบสวัสดิการและระบบคุ้มครองแรงงานของประเทศไทยในปัจจุบัน ยังไม่ครอบคลุมแรงงานทุกคนอย่างเพียงพอ ส่งผลให้คนทำงานมีภาระ มีข้อจำกัด และมีความเสี่ยงในระดับที่สูงมาก ทั้งในการทำงานและการดำเนินชีวิต
ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน แรงงานกว่า 38 ล้านคนทั่วประเทศทุกอาชีพ กำลังเผชิญความท้าทายหรือความไม่เป็นธรรมหลายประการ เช่น ค่าแรงที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ สถานภาพการจ้างงานที่ไม่มั่นคง การกำหนดค่าตอบแทนที่ต่ำกว่ามาตรฐาน การทำงานเกินวันเวลาโดยไม่มีค่าชดเชย หรือ สภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่อันตราย
ยิ่งในปัจจุบัน คนทำงานต้องเผชิญความเสี่ยงมากขึ้นที่อาจจะถูกเลิกจ้างหรือยุติการทำงาน อันเนื่องมาจากการถูกทดแทนโดยเครื่องจักรและปัญญาประดิษฐ์ จากภาวะทางเศรษฐกิจที่ถดถอย หรือจากเหตุสุดวิสัยต่างๆ (เช่น การแพร่ระบาดของโรค การเกิดภัยพิบัติ) ควบคู่กับกลไกที่ยังขาดประสิทธิภาพในการสนับสนุนการปรับตัวของคนทำงาน (เช่น การฝึกอบรมทักษะแรงงาน) หรือการช่วยเยียวยาความเสี่ยงของพี่น้องแรงงาน
พรรคก้าวไกลจึงต้องการยกระดับสวัสดิการในช่วงวัย “ทำงาน” เพื่อเพิ่มการคุ้มครองและการพัฒนาฝีมือแรงงานให้ครอบคลุมแบบถ้วนหน้าทุกกลุ่ม รวมถึงสนับสนุนให้พี่น้องแรงงานสามารถปรับตัวได้ทันตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและระบบเศรษฐกิจ
- ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นทุกปี เริ่มต้นวันละ 450 บาท รัฐช่วย SME 6 เดือนแรก
– ปรับระบบค่าแรงขั้นต่ำให้มีการปรับขึ้นทุกปีตามค่าครองชีพและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพื่อให้แรงงานได้ร่วมแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมจากการเติบโตของเศรษฐกิจ และเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนธุรกิจของตัวเองในแต่ละปีได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
– เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้เริ่มต้นที่วันละ 450 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อและดัชนีค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทุกปีจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่สมัยที่ค่าแรง 300 บาทต่อวัน ถูกประกาศใช้เมื่อปี 2554
– แบ่งเบาภาระค่าแรงที่สูงขึ้นสำหรับ SME ในช่วง 6 เดือนแรก โดยการที่รัฐช่วยสมทบค่าประกันสังคมในส่วนของผู้ว่าจ้าง สำหรับแรงงานที่ถูกกระทบโดยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ - สัญญาจ้างเป็นธรรม ทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
– กำหนดมาตรฐานของสัญญาจ้างที่ต้องเป็นธรรม โดยให้เปลี่ยนการจ้างลูกจ้างรายวันที่ทำงานลักษณะรายเดือน ให้เป็นลูกจ้างรายเดือน
– กำหนดให้ต้องมีชั่วโมงการทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมง สำหรับงานทั่วไป และไม่เกิน 35 ชั่วโมง สำหรับงานอันตราย
– กำหนดให้มีวันหยุดประจำสัปดาห์อย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ และวันหยุดพักผ่อนประจำปีอย่างน้อย 10 วันทำงานต่อปี
– งานจ้างเหมาบริการในภาครัฐต้องอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน เพื่อไม่ให้ลูกจ้างถูกเอาเปรียบหรือได้รับการคุ้มครองต่ำกว่ามาตรฐานแรงงาน - แรงงานทุกกลุ่มตั้งสหภาพได้ สอดคล้องหลักการ ILO
– ปรับมาตรการคุ้มครองแรงงานให้เป็นไปตามหลักสากลในอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 และ 98 เรื่องสิทธิในการจัดตั้งและรวมตัว
– นิยาม “แรงงาน” ให้ครอบคลุมคนทำงานรูปแบบใหม่ (เช่น ฟรีแลนซ์ แรงงานแพลตฟอร์ม) เพื่อช่วยให้ลูกจ้างในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่มีผู้ว่าจ้างคนละคน สามารถรวมตัวกันได้
– รับรองให้แรงงานสามารถรวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงานได้ โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ไม่แบ่งสถานที่ทำงาน (เช่น สหภาพแรงงานสร้างสรรค์ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข พนักงานของรัฐ ฯลฯ)
– เพิ่มช่องทางให้สหภาพแรงงานหลายแห่ง ยื่นข้อเรียกร้องร่วมกัน โดยได้รับการคุ้มครองจากการถูกลงโทษหรือกลั่นแกล้ง
– กำหนดกลไกที่ชัดเจนในการต่อรองกับผู้ว่าจ้าง รวมถึงสิทธิของแรงงานในการเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน (เช่น ผลประกอบการ ความเสี่ยงที่เป็นอันตรายต่อแรงงาน) - ประกันสังคมถ้วนหน้า เจ็บป่วยได้เงินชดเชย-ค่าเดินทางหาหมอ
– นำประชาชนวัยแรงงานทุกคนที่ยังไม่ได้เข้าระบบประกันสังคม (แรงงานนอกระบบ) เข้ามาสู่ระบบประกันสังคมถ้วนหน้า โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากการเพิ่มงบประมาณจากการสมทบของภาครัฐ
– หากจำเป็นต้องลาพบแพทย์: ได้รับค่าชดเชยรายได้ 200 บาทต่อวัน และได้ค่าเดินทางพบแพทย์ 100 บาทต่อวัน
– หากลาคลอด: ได้รับเงินชดเชยรายได้ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน
– หากจำเป็นต้องหยุดงาน (เช่น หยุดตามประกาศของรัฐบาล): ได้รับเงินชดเชยรายได้ 200 บาทต่อวัน ไม่เกิน 25 วันต่อปี
– หากเสียชีวิต: ได้รับค่าฌาปนกิจสงเคราะห์ 10,000 บาท
– กำหนดไว้ว่าประชาชนที่ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ จะได้รับการยกเว้นจากการสมทบเงินเข้ากองทุนประกันสังคม โดยรัฐจะสมทบฝ่ายเดียว - เรียนเสริมทักษะ-เปลี่ยนอาชีพ ฟรีไม่จำกัด
– สร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่ประชาชนทุกคนเข้าถึงและเรียนได้โดยไม่จำกัด ผ่านการรวบรวมคอร์สพัฒนาทักษะจากผู้ผลิตเนื้อหา แบบฝึกหัดและระบบทดสอบความรู้ ระบบสำรวจความถนัดตนเอง และบริการจับคู่กับผู้ประกอบการและจัดหางาน
– แจกคูปองคนวัยทำงาน อายุ 30-60 ปี จำนวน 1 ล้านคน เพื่อเลือกพัฒนาทักษะเชิงลึกที่ตนต้องการหรือมีความจำเป็นในการทำงาน จากหลักสูตรการฝึกอบรมที่มหาวิทยาลัย ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมจัดขึ้นทั้งในรูปแบบออนไลน์หรือ ณ สถานที่ โดยรัฐร่วมจ่าย 80% จากราคาหลักสูตรฝึกอบรม (แต่ไม่เกิน 5,000 บาท/คน)
สวัสดิการ: สูงวัย
ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยก่อนประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ – จำนวนและสัดส่วนผู้สูงอายุของไทยกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ผู้สูงอายุของไทยจำนวนมากยังไม่มีความมั่นคง หรือที่เรียกว่าสภาวะ “แก่ก่อนรวย”
ที่ผ่านมา ระบบการดูแลผู้สูงอายุไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมสถานการณ์ปัจจุบัน การจ่ายเบี้ยยังชีพยังเป็นแบบขั้นบันไดตามช่วงอายุ ตั้งแต่เดือนละ 600-1,000 บาท โดยไม่มีการปรับเพิ่มมาตั้งแต่ปี 2556 การดูแลผู้สูงอายุที่ป่วยติดบ้าน-ติดเตียง มีการจัดสรรทรัพยากรอย่างจำกัด และเป็นไปในลักษณะการสงเคราะห์ มากกว่าจะเป็นสวัสดิการที่แท้จริง
จากการสำรวจข้อมูลในพื้นที่ของ Think Forward Center พบว่า ผู้สูงอายุไทยส่วนใหญ่มีความเป็นห่วงใน 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ
- รายได้ในการดำรงชีวิต – ผู้สูงอายุกว่า 66.7% หรือกว่า 2 ใน 3 ไม่มีความมั่นคงทางการเงินพอสำหรับการเกษียณ
- ภาวะเจ็บป่วยติดบ้าน/ติดเตียง – 89% ของผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญภาวะป่วยติดบ้าน/ติดเตียง แต่ปรากฏว่าผู้สูงอายุไทย กว่า 88.5% ไม่มีเงินมากเพียงพอสำหรับการจ้างผู้ดูแลหากกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง
- เสียชีวิต – ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยยังมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายในการจัดการศพ เพราะเกรงวาจะตกเป็นภาระของลูกหลานที่จะต้องมาดำเนินการ
ภาวะความเป็นห่วงทั้งสามข้อ ไม่ได้เป็นความเป็นห่วงของผู้สูงอายุเองเท่านั้น หากยังเป็นความเป็นห่วงร่วมกันของลูกหลานที่อยู่ในวัยทำงานด้วย
พรรคก้าวไกลจึงต้องการยกระดับสวัสดิการในช่วง “สูงวัย” เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีความมั่นคงทางการเงินเพียงพอสำหรับชีวิตหลังเกษียณ ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นภาระของลูกหลานหรือคนในครอบครัว
- เงินผู้สูงวัยเดือนละ 3,000 บาท สร้างระบบดูแลผู้ป่วยติดเตียง
– เพิ่มเงินผู้สูงวัยให้เป็นอัตราเดียวแบบถ้วนหน้า เดือนละ 3,000 บาท ภายใน 4 ปี เพื่อให้ผู้สูงอายุมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ และมีความมั่นคงทางการเงินเพิ่มขึ้น จากเดิมที่รัฐมีการจัดสรรเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงวัยแบบขั้นบันไดตามช่วงอายุ ตั้งแต่เดือนละ 600-1,000 บาท
– สร้างระบบดูแลผู้ป่วยติดเตียง ผ่านการสมทบเงินจากเงินผู้สูงวัยเข้าสู่กองทุนดูแลผู้สูงอายุ เพื่อเป็นงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการพัฒนาระบบและโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงภายในท้องถิ่น รวมถึงการจ้างงานผู้ดูแล
– จัดสรรงบประมาณโดยเฉลี่ยในการดูแลผู้สูงอายุหรือคนพิการที่ติดบ้าน-ติดเตียง ที่ประมาณ 9,000 บาท/คน/เดือน ซึ่งประกอบด้วย งบประมาณในการจัดหาอุปกรณ์ (ประมาณ 1,500 บาท/คน/เดือน) และการจ้างผู้ดูแลผู้สูงอายุมืออาชีพ (ประมาณ 7,500 บาท/คน/เดือน) โดยมีอัตราผู้ดูแลโดยเฉลี่ย 1 คน ต่อ ผู้ป่วย 2 คน - ค่าทำศพถ้วนหน้า 10,000 บาท
– จัดสรรเงินช่วยเหลือค่าจัดการศพ 10,000 บาท จากระบบประกันสังคมแบบถ้วนหน้า ที่รัฐบาลจะร่วมสมทบให้กับประชาชนทุกคน
สวัสดิการ: ทุกอายุ
ที่ผ่านมา ปัญหาค่าครองชีพและปัญหาหนี้สินส่งผลกระทบอย่างมากต่อหลายครัวเรือนในประเทศ โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะครัวเรือนที่มีรายได้น้อย มีสูงถึง 30-40% ของค่าใช้จ่ายประจำที่ไม่สามารถปรับลดลงได้ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย ทั้งค่าเช่าบ้านและค่าผ่อนบ้าน ค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง ค่าใช้จ่ายด้านการสื่อสาร-โทรคมนาคม และค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้าและน้ำดื่มที่สะอาด
นอกจากค่าใช้จ่ายแล้ว บริการสาธารณะหลายด้านมีปัญหาทั้งเรื่องคุณภาพและความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง ไม่ว่าจะเป็น ขนส่งสาธารณะที่ไม่เพียงพอหรือราคาสูง ที่พักอาศัยที่ราคาแพงและไม่ได้มาตรฐาน น้ำประปาที่ดื่มไม่ได้ในเกือบทุกพื้นที่ และ อินเทอร์เน็ตที่ยังเข้าไม่ถึงทุกครัวเรือนแม้เป็นสิ่งที่จำเป็นมากขึ้นต่อการเรียนรู้-ทำงาน-ใช้ชีวิต
พรรคก้าวไกลจึงเห็นว่า นอกเหนือจากระบบสวัสดิการแบบถ้วนหน้าแล้ว การปรับปรุงบริการสาธารณะที่ดีขึ้น และการสนับสนุนให้ทุกครัวเรือนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณะที่จำเป็นได้มากขึ้น จะเป็นส่วนสำคัญในการลดภาระค่าครองชีพ และขณะเดียวกัน ก็เพิ่มความมั่นคงในชีวิต ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยได้อีกด้วย
พรรคก้าวไกลจึงต้องการยกระดับสวัสดิการสำหรับคน “ทุกอายุ” เพื่อสนับสนุนให้ทุกครัวเรือนเข้าถึงบริการสาธารณะที่จำเป็นและมีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าครองชีพ เพิ่มความมั่นคงในชีวิต และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย
เป้าหมายของนโยบายสวัสดิการในการลดความเหลื่อมล้ำ
นอกเหนือจากเป้าหมายของสวัสดิการในแต่ละหมวดที่กล่าวถึงไปแล้ว ระบบสวัสดิการของพรรคก้าวไกลในภาพรวม ยังมีเป้าหมายโดยรวม ดังต่อไปนี้
- บ้านตั้งตัว 350,000 หลัง
– รัฐบาลช่วยค่าผ่อนบ้าน สำหรับผู้ซื้อบ้าน-ที่พักอาศัยใหม่เป็นหลังแรก จำนวน 100,000 ราย ในอัตรา 2,500 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 30 ปี สำหรับบ้าน-ที่พักอาศัยราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท
– รัฐบาลช่วยค่าเช่าบ้าน-ห้องพัก สำหรับผู้เช่าบ้าน-หอพัก จำนวน 250,000 ราย ในอัตรา 1,000 บาท/เดือน สำหรับบ้านเช่า-ห้องเช่าที่มีราคาไม่เกิน 4,000 บาท/เดือน - น้ำประปาดื่มได้ทุกพื้นที่
– ออกกฎหมายควบคุมมาตรฐานคุณภาพน้ำ ปรับปรุงระบบท่อส่งน้ำประปาทั่วประเทศ และอุดหนุนงบประมาณปีละ 7,500 ล้านบาท เป็นแผนระยะยาว 8 ปี เพื่อให้ประชาชนสามารถดื่มน้ำสะอาดจากก๊อกน้ำได้ ภายใน 10 ปี ลดภาระค่าครองชีพของประชาชนในการซื้อน้ำดื่ม-น้ำใช้ - เติมเงินให้ท้องถิ่น เพิ่มขนส่งสาธารณะ
– อุดหนุนงบประมาณ สนับสนุน 10,000 ล้านบาท ให้ท้องถิ่นในการเพิ่มปริมาณของบริการขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
– ใช้ระบบตั๋วร่วมค่าโดยสารร่วมในกทม. เพื่อให้ค่าโดยสารถูกลง (รถเมล์ 8-25 บาทตลอดสาย รถเมล์และรถไฟฟ้า 8-45 บาทตลอดสาย)
– พัฒนาและควบคุมมาตรฐานการบริการขนส่งสาธารณะอย่างเข้มงวด
– ส่งเสริมระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (เช่น รถเมล์ไฟฟ้า) ซึ่งจะช่วยให้เกิดการจ้างงานในประเทศ ลดความผันผวนของราคาเชื้อเพลิง และลดมลพิษในแต่ละเมือง - เติมเน็ตฟรี 1 GB ต่อเดือน
– เพิ่มเน็ตให้ประชาชนใช้งานได้คนละ 1 GB ต่อเดือน โดยการลงทะเบียนกดรับสิทธิผ่านมือถือ
– จัดสรรงบประมาณปีละ 3,000 ล้านบาท จากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ซึ่งอยู่ในสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
สวัสดิการก้าวหน้า ตั้งแต่เกิดจนตาย 650,000 ล้านบาท
มีเงินจ่าย ทำได้จริง
เมื่อพูดถึงการสร้างรัฐสวัสดิการที่มุ่งรับรองคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนทุกคน หลายคนคงจะเริ่มตั้งคำถามว่า “แล้วเราจะเอาเงินมาจากไหน?”
พรรคก้าวไกลเรายืนยันว่าชุดนโยบาย “สวัสดิการไทยก้าวหน้า” ที่ประกอบไปด้วยนโยบาย 19 ข้อ ในการสร้างระบบสวัสดิการที่ครอบคลุมตั้งแต่เกิดจนตายไม่ได้เป็นข้อเสนอที่เกินเลยไปกว่าสิทธิและสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ควรได้รับ และไม่ได้เป็นข้อเสนอที่เกินเลยไปกว่าสิ่งที่ประชาชนหลายร้อยล้านคนทั่วโลกได้รับอยู่แล้ว
เราไม่ปฏิเสธว่าในประเทศที่ยังคงมีงบสวัสดิการดั้งเดิมน้อยนิดอย่างประเทศไทย ชุดนโยบายของเราจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มเป็นจำนวนไม่น้อย หรือประมาณ 650,000 ล้านบาท
ในฐานะพรรคการเมือง การอธิบายแหล่งที่มาของงบประมาณทั้งหมด นับเป็นความรับผิดชอบขั้นพื้นฐานที่เราต้องแสดง เพราะในมุมหนึ่ง การอธิบายที่มางบประมาณอย่างตรงไปตรงมากับประชาชน จะเป็นหนทางในการช่วยเพิ่มความมั่นใจกับประชาชน ว่านโยบายทั้งหมดที่เรานำเสนอนั้น สามารถทำได้จริง และในอีกมุมหนึ่ง การวางแผนแนวทางการหารายได้ให้เพียงพอต่องบประมาณที่เพิ่มขึ้น จะเป็นหนทางในการป้องกันไม่ให้การได้มาซึ่งสวัสดิการในวันนี้กลายไปเป็นภาระของลูกหลานเราที่ต้องมาใช้หนี้ในอนาคต
จากงบประมาณสวัสดิการที่คาดว่าจะต้องเพิ่มขึ้น พรรคก้าวไกลยืนยันว่าหากเราเป็นรัฐบาล เราจะสามารถหารายได้เพิ่มเติมเพียงพอสำหรับทั้งหมด 650,000 ล้านบาทต่อปี ภายใน 4 ปี ของวาระรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ชุดนโยบายสวัสดิการที่เราเสนอ ไม่เป็นภาระต่องบประมาณเพิ่มเติม
ในบรรดา 10 แหล่งที่มาของรายได้ที่เราเสนอ พรรคยึดหลักว่าจะต้องเป็นการหารายได้เพิ่มเติมที่
(1) ไม่เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายแก่คนหมู่มาก
(2) คำนึงถึงความเป็นธรรม
(3) จัดเก็บได้จริง อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะเป็น การเริ่มต้นที่การจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นก่อน ตั้งแต่การประหยัดงบประมาณจากการปฏิรูปกองทัพ (เช่น ลดขนาดกองทัพ เรียกคืนธุรกิจกองทัพ) การประหยัดงบประมาณจากการตัดโครงการรัฐที่ซ้ำซ้อนและไม่จำเป็น หรือ การประหยัดงบประมาณจากงบกลางที่หลายครั้งถูกใช้อย่างขาดวินัยและอย่างไม่โปร่งใส
หรือไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพและความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีที่มีอยู่แล้ว ทั้งการสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีรายได้บุคคล ระหว่างรายได้จากเงินเดือนกับรายได้จากค่าเช่าหรือทรัพย์สินอื่นๆ และการสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีรายได้นิติบุคคล ระหว่างทุนใหญ่กับผู้ประกอบการรายย่อย
หรือไม่ว่าจะเป็น การพิจารณาภาษีก้าวหน้าประเภทใหม่ที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งการลดช่องโหว่ในการเก็บภาษีที่ดินรายแปลง การจัดเก็บภาษีที่ดินรวมแปลงในกรณีที่มีที่ดินจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมดทั่วประเทศ และการพิจารณาภาษีความมั่งคั่งแบบขั้นบันไดสำหรับบุคคลที่มีทรัพย์สินสุทธิรวมกันเกิน 300 ล้านบาท
ในห้วงเวลาของการเลือกตั้ง คงไม่มีกูรูทางการเมืองคนไหนแนะนำให้เราแถลงนโยบายที่มีส่วนในการเก็บภาษีเพิ่ม แต่พรรคก้าวไกลเชื่อว่าการซื่อสัตย์ต่อประชาชน และการพูดถึงสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำอย่างตรงไปตรงมา คือจุดเริ่มต้นสำคัญของการได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ผู้ที่เราเสนอตัวมาเป็นตัวแทน
พรรคก้าวไกลมีความเชื่อ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยในประเทศนี้เข้าใจดีว่าความสำเร็จของเขา อาจมีบางส่วนที่มาจากโชค หรือเป็นความสำเร็จที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เช่นเดียวกันกับที่เราเชื่อ ว่าหลายคนมีความพร้อมที่จะช่วยเหลือกันในยามลำบากและเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกับคนในสังคม ซึ่งเห็นได้ผ่านการบริจาคที่ประเทศไทยติด 1 ใน 5 ของประเทศที่ใจบุญชอบบริจาคสูงสุดแทบทุกปี
สำหรับคนที่มีทรัพย์สินและที่ดินระดับหลายร้อยล้าน “ภาษี” ที่ต้องจ่ายอาจสูงขึ้น แต่เราเชื่อว่าพวกเขาเองก็เข้าใจดี ว่าตราบใดที่เงินภาษีถูกใช้อย่างโปร่งใสและอย่างเป็นประโยชน์กับคนส่วนมากอย่างแท้จริง ทั้งหมดนั้นเป็น “ราคา” ที่คุ้มค่า สำหรับการสร้างสังคมที่เป็นธรรม และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในการเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ที่ทุกคนต้องเจอร่วมกันในวันข้างหน้า
การสร้างระบบสวัสดิการ ที่ครอบคลุมตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ได้เป็นประโยชน์กับแค่บางกลุ่ม แต่เป็นประโยชน์กับทุกคนในสังคม เพราะไม่มีประเทศไหนที่สังคมจะอยู่ได้อย่างสงบสุขถ้าความเหลื่อมล้ำยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมนั้น
การสร้างระบบสวัสดิการแบบก้าวไกล จะเป็นจริงได้ หากเราร่วมกันเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข และก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันทุกคน