งบประมาณ Long-term care ที่ยังไม่ค่อยแคร์: บทวิเคราะห์งบประมาณ 2568 ผ่านการอภิปรายของ สส.ภูริวรรธก์ ใจสำราญ พรรคก้าวไกล


อิชย์อาณิคม์ ชิตวิเศษ


ปัจจุบัน ประเทศไทยได้เป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aged Society) โดยสมบูรณ์แล้ว ด้วยสัดส่วน 13 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งสิ้น 66,057,967 ล้านคน หรือคิดเป็นจำนวนร้อยละ 19.68 จากจำนวนประชากรทั้งหมด และมีแนวโน้มว่า จำนวนประชากรผู้สูงอายุจะค่อยๆ เพิ่มในสัดส่วนร้อยละ 4 ต่อปี ขณะที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ค่อยๆ ลดน้อยลง โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่เพียง 433,050 ราย ขณะที่มีจำนวนผู้เสียชีวิต 472,546 ราย และถือเป็นปีที่ 3 แล้วที่ประเทศไทยต้องพบเจอกับปัญหาอัตราการเกิดน้อยกว่าอัตราการตาย 

อย่างไรก็ดี การมีจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น นำมาซึ่งการมีผู้ป่วยที่มีความต้องการพึ่งพิงเพิ่มมากขึ้น โดยหากเราประเมินผู้ป่วยในระยะพึ่งพิงจากตัวชี้วัดเป้าหมายของกองทุนหลักประกันสุขภาพจะพบว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีจำนวนอยู่ประมาณ 686,823 คน และจากจำนวนผู้สูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นสัดส่วนร้อยละ 4 ต่อปี หากประเทศไทยยังไม่มีรูปแบบการจัดการระบบการดูแลแบบพึ่งพิง (Long-term Care) และการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง (Palliative Care) ที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพตั้งแต่วันนี้ ก็นำมาซึ่งความยาลำบากในการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะพึ่งพิงที่เพิ่มมากขึ้น


ประสบการณ์ Lone-term Care ภาพสะท้อนรัฐในวันที่ไม่มีระบบพึ่งพิงให้ผู้ป่วย

ภูริวรรธก์ ใจสำราญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 12 จากพรรคก้าวไกล ได้อภิปรายในวาระ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ถึงปัญหาการจัดสรรงบประมาณสำหรับผู้ป่วยระยะพึ่งพิง และประคับประคองเอาไว้ว่า ประเด็นการดูแลผู้ป่วยทั้งระยะพึ่งพิง และประคับประคองนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและส่งผลต่อคนในครอบครัวของผู้ป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างมาก ถ้าหากรัฐให้ความสำคัญกับการจัดการระบบการดูแลแบบประคับประคองได้ดี มีการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วย ก็จะแบ่งเบาภาระทั้งทางกายและจิตใจของคนในครอบครัวไปได้อย่างมาก 

ภูริวรรธก์ อภิปรายถึงเรื่องราวของเขาในช่วงเวลาที่ต้องดูแลคุณพ่อที่เป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย และมีโรครุมเร้าหลายด้าน ซึ่งถือเป็นการดูแลในระยะประคับประคอง เขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับพ่อเป็นหลักปีในการดูแลรักษาระยะนี้ ในขณะที่ทุกคนในบ้านไม่มีใครเป็นแพทย์หรือมีความรู้ที่เพียงพอในการรักษาพยาบาล และการไม่มีระบบการจัดสรรผู้ดูแล (Caregiver) มาคอยให้ความช่วยเหลือและให้คำแนะนำกับคนในครอบครัว ก็ทำให้ช่วงเวลานั้นเขาและทุกคนในครอบครัวผ่านไปได้อย่างค่อนข้างลำบาก 

“ในช่วงเวลานั้น ครอบครัวเราไม่มีความรู้ในเรื่องการจัดการแผลกดทับ ซึ่งขณะนั้นมันใหญ่และลึกมากขึ้นทุกวัน เราไม่มีความรู้เรื่องการทริมเนื้อตาย ว่าทริมแล้วจะต้องใช้ผ้าก็อตแบบใดปิดเข้าไป และเราก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ยาประเภทใดถึงจะเหมาะกับคุณพ่อ และเราจะสู้ราคานั้นไหวหรือไม่? และที่สำคัญคือ เราต้องรับมือภาวะแปรปรวนทางอารมณ์ของคุณพ่อในจุดที่เขาตกต่ำที่สุด”
ภูริวรรธก์ กล่าว

ช่วงเวลานั้น ทำให้ ภูริวรรธก์ และครอบครัวต้องวางแผนการดูแลพ่อของเขาร่วมกันว่า ตนและครอบครัวจะต้องช่วยเหลือคุณพ่ออย่างไร และต้องวางแผนเพื่อพาคุณพ่อไปยังโรงพยาบาลทุกเดือนกว่าที่ร่างกายของคุณพ่อจะทนไม่ไหว หรือรักษาให้ดีขึ้นไม่ได้อีกแล้ว 

“พ่อพยายามจะพูดด้วยเสียงที่ดัง แต่ว่าความเป็นจริงนั้นไม่ได้ดังมาก เพราะที่คอมีท่อช่วยหายใจ และท่อดูดเศษเสมหะ รวมถึงที่จมูกก็มีท่อออกซิเจน พ่อบอกว่า “อยากกลับบ้าน เพราะบ้านเป็นพื้นที่สงบและเป็นที่ๆ คุ้นเคย”” 

แต่สุดท้าย เรื่องราวก็จบลงที่ คุณพ่อต้องอยู่ในห้อง ICU ห้องที่จำกัดไปด้วยขนาดและระยะเวลาในการเข้าเยี่ยม พ่อไม่สามารถทำได้แม้แต่บอกลา หรือบอกรักกับคนที่ท่านอยากจะบอก และสุดท้ายพ่อก็ต้องจากไปในสภาพที่อยู่ในห้อง ICU ในขณะที่ ภูริวรรธก์ นั่งเฝ้าคุณพ่อของเขาอยู่เพียงคนเดียว

ครอบครัวของ ภูริวรรธก์ ไม่ใช่ครอบครัวเดียวประเทศนี้ ที่ต้องรับมือกับวาระสุดท้ายของคนในครอบครัวกันเอง ขณะที่รัฐไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมกับระบบการรักษาแบบประคับประคองที่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอ แต่ยังมีอีกหลายครอบครัวที่พวกเขาต้องอยู่ในภาวะที่ยากลำบากเช่นนี้ และหากพวกเขาไม่มีเงินที่มากเพียงพอจะซื้อบริการการรักษาในโรงพยาบาลได้ คนส่วนใหญ่ก็จะเลือกพาผู้ป่วยกลับไปดูแลที่บ้าน 

ทุกครั้งที่ ภูริวรรธก์ เข้าไปเยี่ยมประชาชนในพื้นที่บางเขน สายไหม และลาดพร้าว สิ่งที่พบเห็นบ่อยครั้งก็คือ บางครอบครัวไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกกับผู้ป่วยภายในบ้าน จนกระทั่งต้องเอาโซฟามาแทนเตียงผู้ป่วย บางครอบครัวไม่มีคนดูแลทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลด้านกายภาพ แผลกดทับก็ไม่ได้ดู หรือแม้แต่ไม่ได้รับยาที่มีคุณภาพ เพราะว่ามันแพง และสิทธิการรักษาที่พวกเขามีอยู่วันนี้ก็ไม่เพียงพอให้พวกเขาได้เข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกัน เมื่อพูดถึงสภาพแวดล้อมภายในบ้าน ภูริวรรธก์ เล่าฟังว่า มีหลายครั้งที่เขาไปเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ และพบว่าบางบ้านอากาศถ่ายเทแย่มาก รวมถึงลูกหลานที่เข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยเหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็เข้าไปดูแลเท่าที่พวกเขาทำได้ บางคนไม่ได้ดูแลตั้งแต่เช้าจรดเย็น เพราะต้องออกไปทำงาน 

และหากจะต้องเดินทางไปยังโรงพยาบาล การเรียกรถพยาบาลมาแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ทำให้หลายๆ ครอบครัวจำเป็นต้องอาศัยบริการแท็กซี่ และต้องขอความร่วมมือคนรอบข้างอีก 3-4 คน เพื่อช่วยกันแบกหามผู้ป่วยขึ้นรถไป ซ้ำร้าย หากผู้ป่วยบางรายอาศัยอยู่บนตึกชั้น 4-5 ก็ยิ่งทำให้เวลาจะเคลื่อนย้ายแต่ละครั้งนั้นเต็มไปด้วยความทุลักทุเลอย่างมาก ทำให้ในช่วงเวลาสุดท้ายของผู้ป่วยในหลายครอบครัวจะต้องเจอกับความยากลำบากทั้งจากอาการเจ็บป่วย และความกดทับจากสังคมที่ทับซ้อนลงมาอีก 


การจัดการรักษาแบบพึ่งพิงและประคับประคองในปัจจุบัน

ภูริวรรธก์ ฉายภาพให้เห็นว่า ขณะนี้ ในเดือนๆ หนึ่ง โรงพยาบาลจะต้องรองรับผู้ป่วยที่มีความต้องการการดูแลแบบพึ่งพิงและประคับประคองเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนที่ผ่านมา โรงพยาบาลสิรินธร มีผู้ป่วยที่ต้องการได้รับการดูแลแบบประคับประคองต่อเดือนอยู่ถึง 70 คน ขณะที่มีแพทย์ที่ให้ความดูแลในเรื่องนี้เพียง 1 คนเท่านั้น

สำหรับการดูแลแบบพึ่งพิงและประคับประคองนั้น หากมีคนไข้ที่มีความต้องการรักษาทั้งหมด 200 เตียง ก็ควรมีแพทย์ที่คอยให้ความดูแลอย่างน้อย 3-4 คน และต้องมีพยาบาลอยู่ที่จำนวน 2.5-4 คน


ภาพจากสไลด์ในการอภิปรายของ สส.ภูริวรรธก์ ใจสำราญ ในประเด็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568
เกี่ยวกับการจัดทำระบบ Long-term Care
(รับชมการอภิปรายได้ที่ https://youtu.be/wi_phnCvAu8?si=Va70jmm8vggKmdY8)


แต่ดูเหมือนว่า สถานการณ์ความขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์นั้น นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ภูริวรรธก์ ได้ให้ข้อมูลส่วนนี้ว่า ในอดีต กระทรวงสาธารณสุข เคยกำหนดเกณฑ์จำนวนบุคลากรไว้ว่า กำหนดให้จำนวนแพทย์ 1 คน และพยาบาล 1 คน ต่อจำนวนประชากร 5,000 คน แต่ปัจจุบัน เกณฑ์ที่ว่านี้กลับถูกปรับเป็น “แพทย์ 1 คน และพยาบาล 1 คน ต่อจำนวนประชากร 10,000 คน”

เกณฑ์นี้สร้างความน่ากังวลอย่างไรให้กับบุคลากรแพทย์และผู้ป่วย?

ภูริวรรธก์ ได้ยกตัวอย่าง จำนวนประชากรเขตบางเขน กรุงเทพฯ ที่ปัจจุบันมีจำนวนประชากรตามทะเบียนราษฎร์ 180,000-190,000 คน และเมื่อรวมกับจำนวนประชากรแฝงก็จะมีประมาณ 300,000 คน หากพิจารณาจากเกณฑ์ข้างบน บุคลากรแพทย์ในศูนย์สาธารณสุข 24 เขตบางเขน จะต้องมีเจ้าหน้าที่ประมาณ 30 คน 

แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น หากไปดูที่ศูนย์สาธารณสุข 24 เขตบางเขน จะพบว่า มีเจ้าหน้าที่เพียงแค่ 15 คน โดยแบ่งเป็น 7 คนอยู่ประจำการที่ศูนย์ฯ และอีก 8 คน จะลงพื้นที่ไปตามชุมชน ซึ่ง 8 คนนี้ จะทำหน้าที่ประสานกับโรงพยาบาลศูนย์ฯ และโรงพยาบาลชุมชน ให้กับผู้ป่วยระยะพึ่งพิงและระยะประคับประคองในกรณีที่มีความจำเป็นจะต้องไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล

ความขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์สะท้อนให้เห็นมากขึ้น เมื่อแพทย์ที่จบเฉพาะทางด้าน Long-Term Care และ Palliative Care มีจำนวนเพียงปีละ 10 คนเท่านั้น และแม้ว่าพยาบาลที่เฉพาะทางด้าน Long-Term Care และ Palliative Care อาจมีจำนวนเยอะกว่า แต่เมื่อจบมาแล้วก็ไม่สามารถทำงานด้านนี้ได้โดยตรง เนื่องจากจนถึงขณะนี้ โรงพยาบาลส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีวอร์ดรองรับพยาบาลที่จบมาสายนี้โดยเฉพาะ

รวมถึงฐานเงินเดือนที่ไม่สมเหตุสมผล สำหรับพยาบาลที่ได้รับการบรรจุเข้าทำงานโรงพยาบาลของรัฐจะได้รับเงินเดือนตั้งแต่ 18,000 บาท ขึ้นไป หากเป็นโรงพยาบาลเอกชนจะได้รับเงินเดือนตั้งแต่ 30,000 บาท ขึ้นไป ขณะที่ หากเลือกเดินทางไปทำงานยังต่างประเทศ สำหรับประเทศที่มีความต้องการบุคลากรด้าน Palliative Care มาก เงินเดือนก็จะพุ่งสูงไปถึง 300,000 บาท 

เมื่อหัวใจหลักของการรักษาแบบพึ่งพิงและประคับประคอง อยู่ที่การกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้ การมี Caregiver จึงถือเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการประสานการทำงานเพื่อดูแลผู้ป่วยระหว่างครอบครัวกับโรงพยาบาล ในต่างจังหวัดคนนิยมพาผู้ป่วยกลับไปบ้าน เพื่อให้ลูกหลานเข้ามาดูแล ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องการเพียงแค่ยาและคำแนะนำการดูแลที่สม่ำเสมอ เพื่อพร้อมที่จะกลับไปที่โรงพยาบาลตามที่แพทย์นัดหมาย

แต่หากเป็นผู้ป่วยในชุมชนเมืองจะมีความต้องการอยู่ในโรงพยาบาลมากกว่า เนื่องมาจากสาเหตุของเวลา เศรษฐกิจ และค่านิยม ผู้ป่วยกลุ่มเรานี้จึงมีความต้องการวอร์ดในโรงพยาบาล หรือการมีอยู่ของสถานชีวาภิบาล หรือ Nursing Care ต่างๆ ที่เป็นบริการของเอกชน

เมื่อ Caregiver เป็นสิ่งที่สำคัญ รัฐก็ต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตและรายได้ให้กับคนเหล่านี้ให้เขาสามารถทำงานได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แต่ทุกวันนี้ ใครคือ Caregiver?



ปัจจุบัน อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) นั้นได้ค่าบริการสาธารณสุขจากงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข ที่ถูกตั้งไว้ปีละ 25,877 ล้านบาท

 และบางส่วนมาจากงบประมาณของ สปสช. โดยจะแบ่งจ่ายมากน้อยตามแต่ขนาดขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้ อสส./อสม. บางพื้นที่ได้เงินเป็นรายเคส เคสละ 50 บาท บางพื้นที่ได้เป็นรายชั่วโมง หรือบางพื้นที่เลือกจ่ายเป็นรายเหมาเดือนละ 1,000-1,500 บาท 

แต่กระนั้น ระบบเบิกจ่ายของ สปสช. นั้นก็มีความยุ่งยากซับซ้อน ต้องใช้เอกสารเยอะ และมีกำหนดระยะเวลาการเบิกจ่ายจำกัด ทำให้ Caregiver บางคนไม่ได้เบิกจ่ายเงิน และทำงานด้วยใจที่เป็นอาสาจริงๆ

นอกจากนี้ สำหรับ Caregiver ยังได้รับเงินสนับสนุนจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 1,188,900 บาท โดยตัวชี้วัดจะอยู่ที่จำนวนผู้ป่วยที่เลือกรับบริการที่บ้านเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 5 แต่จากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ได้กำหนดงบบริการครบวงจรไร้รอยต่อ สนับสนุนสร้างเสริมบริการชีวาภิบาล ขณะที่ตัวชี้วัดยังเท่าเดิม แต่ได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นมานิดนึงคือ 2,295,000 บาท 

นอกจากงบประมาณด้านบุคลากรแล้ว งบประมาณด้านสถานที่และอุปกรณ์ก็ไม่ได้ครอบคลุม สำนักงานปลัด กระทรวงสาธารณสุข มีแผนงานขับเคลื่อนสถานชีวาภิบาล งบประมาณ 339 ล้านบาท แต่จากจำนวนนี้ เป็นสัดส่วนงบครุภัณฑ์เพียง 40 ล้านบาท ขณะที่อุปกรณ์ด้านการดูแลแบบประคับประคองผู้ป่วยบางชนิดนั้นมีราคาแพงมาก และบางอย่างไม่สามารถเบิกจ่ายจากงบรายหัวของสปสช. ได้ สุดท้ายผู้ป่วยหลายคนจึงต้องจำใจออกเงินซื้อเอง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยภายในบ้านของตน 

การตั้งงบประมาณ และตัวชี้วัดที่น้อยนิดเช่นนี้ มาจากการที่บุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ รวมถึงสถานชีวาภิบาลที่ยังไม่ได้มีทุกพื้นที่ ทำให้หลายๆ ครอบครัวเลือกที่จะพาผู้ป่วยกลับมาดูแลที่บ้าน และด้วย อสส. และอสม. คืองานอาสาสมัคร ทำให้ไม่สามารถมาทำงานได้เต็มเวลา นอกจากนี้ช่วงอายุของผู้ที่มาทำหน้าที่ อสส. และอสม. ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ รวมถึงองค์ความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยแบบพึ่งพิงและประคับประคองที่มีรายละเอียดการดูแลเยอะ ทำให้การบริการบางครั้งของ Caregiver ไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย 



แม้จะมีการอบรม แต่โครงการพัฒนาศักยภาพของอสส. และอสม. ส่วนมากก็เป็นการอบรมแบบนั่งฟังคร่าวๆ ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ไม่ได้มีการฝึกปฏิบัติ ที่เป็นเช่นนี้เพราะคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ถูกตัดลดเสมอ เช่น ปี 2568 นี้ ที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำคำของบประมาณรายจ่ายโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพ อสส./อสม. อยู่ที่ 1,274.21 ล้านบาท แต่ได้กลับมาเพียง 153.27 ล้านบาทเท่านั้น 

หรือกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ที่ทำคำของบประมาณรายจ่ายโครงการองค์ความรู้ด้านสุขภาพเพื่อได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมไปจำนวน 7,590.49 ล้านบาท แต่ได้กลับมาเพียง 2,761.96 ล้านบาท และจากจำนวนนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นงบลงทุน ทำให้สุดท้ายเหลืองบประมาณสนับสนุนงานด้านวิชาการเพียงแค่ 13 ล้านบาทเท่านั้น 

รวมถึง การเกิดขึ้นของวอร์ดชีวาภิบาลในโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลชุมชน แม้จะเป็นหนทางที่ดี แต่สิ่งที่จำเป็นอย่างมากไม่แพ้กันคือ การผลิตจำนวนแพทย์และพยาบาลเฉพาะด้านนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้กับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และสถานชีวาภิบาลชุมชน หากสถานชีวาภิบาลจะเกิดขึ้นในทุกตำบลได้จริงภายในปี 2570 การจัดสรรคนให้เพียงพอ มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับทีมชีวาภิบาลท้องถิ่นอย่างครบถ้วน และมีการทำงานให้เป็นโครงข่ายและเชื่อมกันอย่างเป็นระบบ ผู้ป่วยที่มีความต้องการปึ่งพิงและประคับประคองก็จะไม่ถูกทำให้ตกหล่นอีกต่อไป


งบประมาณ 68: อีกปีที่ผู้ป่วยพึ่งพิงและประคับประคองตกหล่น

ในการอภิปรายครั้งนี้ ภูริวรรธก์ ฉายภาพให้เห็นว่า จนถึงขณะนี้ มีโรงพยาบาลจำนวนน้อยมากที่มีการวางแผนระบบการดูแลผู้ป่วยที่เลือกกลับมารักษาตัวที่บ้าน และมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษากับคนในครอบครัวว่า การดูแลต่อเนื่องนั้นจะต้องทำอย่างไร? การวางแผนเรื่องการเงิน และการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะเป็นอย่างไร? รวมไปถึงเรื่องของการตาย การจัดหาสถานที่การตายด้วย 

ถ้าหากมีการวางแผนมันช่วยเหลือทุกฝ่ายได้มากเช่นนี้ ทำไมหลายๆ โรงพยาบาลถึงไม่มีการจัดเตรียมแผนตรงนี้เอาไว้เลย?



ตามที่กองทุนหลักประกันสุขภาพ ได้คาดการณ์เอาไว้ว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ป่วยระยะพึ่งพิง มีอยู่ประมาณ 686,823 คน ขณะที่ งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา ได้รับอยู่ที่เพียง 2,760.55 ล้านบาท แม้กองทุนหลักประกันสุขภาพจะมีความพยายามเพิ่มคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ไว้ที่ 3,435.15 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับประเมินรายจ่ายรายหัวของผู้ป่วยระยะพึ่งพิงไว้เพียง 334,823 คน แต่ก็ได้รับการอนุมัติในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 กลับมาเพียง 2,900.24 ล้านบาท หรือคิดเป็นงบประมาณรายหัวเพียง 245,648 คนเท่านั้น ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยระยะพึ่งพิงที่ตกหล่นจากการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลทั้ง 2 รอบทั้งสิ้น 441,171 คน

นี่จึงกลายเป็นคำถามที่ ภูริวรรธก์ ได้ให้ไว้ ณ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า แล้วรัฐบาลจะรองรับผลที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ตกหล่นจากงบประมาณที่ถูกตัดลดนี้อย่างไร? ในเมื่อทุกวันนี้ ระบบสาธารณสุขไทย ยังไม่มีการเตรียมความเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยแบบพึ่งพิง และทำให้โอกาสที่ผู้ป่วยจะต้องหลุดไปอยู่ในรูปแบบการดูแลแบบประคับประคองเพิ่มมากขึ้น

และเมื่อมาดูงบประมาณสำหรับการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองจะพบว่า ในปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา สปสช. ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการเบิกจ่ายเงินรายหัว สำหรับผู้ป่วยที่เลือกพักรักษาที่บ้านจำนวน 9,000 บาท โดยจ่ายติดต่อกันไม่เกิน 6 เดือนต่อราย 

ขณะที่ร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 นั้นมีการนำงบประมาณการดูแลประคับประคองไปเพิ่มในส่วนของ LTC ทำให้อัตราเหมาจ่ายต่อคนต่อปีเพิ่มขึ้นเป็น 10,442 บาท ซึ่งแม้งบประมาณรายหัวจะสูงขึ้น แต่จากการประมาณการจำนวนผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะต้องดูแลแบบประคับประคองนั้นมีอยู่ 229,817 คน ซึ่งจากงบประมาณที่ได้รับนั้นสามารถดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองได้เพียง 152,935 คน ทำให้มีผู้ป่วยตกหล่นจากระบบการดูแลประคับประคองอยู่ที่ 76,882 คน 



ทั้งหมดจึงสะท้อนว่า การให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองของรัฐบาลในปีนี้นั้นลดน้อยลง ทั้งๆ ที่ 2 ระบบนี้ สำคัญมากกับผู้ป่วย

ภูริวรรธก์ อภิปรายเพิ่มเติมในส่วนนี้ว่า ถ้าเราเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง กับผู้ที่ไม่ได้รับการดูแลแบบประคับประคองก็จะพบว่า ผู้ที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง จะสามารถช่วยลดรายจ่ายครอบครัวได้ถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบปกติ ถ้าผู้ป่วยได้รับการดูแลแบบประคับประคองก่อนเสียชีวิตอย่างน้อย 7 วัน หรือล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือน ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้เยอะมาก ไม่ใช่แค่มิติของผู้ป่วย (ที่จะเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าห้อง ICU ลดลง) และรวมถึงมิติอื่นได้ 

“นอกจากนี้ยัง ลดความทรมานของผู้ป่วย และลดการรักษาที่ไม่จำเป็น ขณะที่การดูแลแบบประคับประคองนี้ ยังเพิ่มในส่วนของ คุณภาพชีวิต และโอกาสที่ผู้ป่วยจะได้ตายดีในที่ๆ ปรารถนา”

ภูริวรรธก์ กล่าว

ในช่วงท้ายของการอภิปรายงบประมาณ ภูริวรรธก์ และพรรคก้าวไกล จึงได้เสนอแนวนโยบายเพื่อการจัดการระบบสาธารณสุขไทย ดังนี้

  1. จัดตั้ง ธนาคารอุปกรณ์ สำหรับผู้ป่วยที่บ้าน (รพ.สต. จัดซื้อเข้ามา และรับบริจาคจากประชาชนหรือเอกชนที่สนับสนุนเข้ามา) โดยที่ใช้เสร็จแล้วนำมาคืน 
  2. สนับสนุนนโยบาย ชีวาภิบาลทั้งจากกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่งคงมนุษย์ ที่ตั้งใจจะเข้ามาดูแลผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่ต้องการการพึ่งพิงอื่นๆ ด้วยการเพิ่มบทบาทให้กับนักสังคมสงเคราะห์ และสหวิชาชีพอื่นๆ ให้เข้ามาทำงานร่วมกันมากขึ้น

ท้ายที่สุดนี้ งบประมาณเพื่อการสร้างระบบดูแลแบบพึ่งพิงและประคับประคองนี้ ไม่ใช่งบประมาณที่รัฐลงทุนไปแล้วเสร็จภายในปีเดียว แต่ต้องอาศัยการวางรากฐานทั้งในแง่บุคลากร เช่น แพทย์ พยาบาลที่มีความรู้เฉพาะด้านที่จะอบรมพัฒนาศักยภาพ รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นในหน้าที่การงานให้กับเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นและอาสาสมัคร และต้องวางรากฐานในด้านสถานที่ ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่ทันสมัยและตอบโจทย์กับผู้ป่วยระดับพึ่งพิงและประคับประคองได้จริง 

“เพื่อการดูแลสุขภาพของคนในสังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า