ปฏิวัติการศึกษาไทย เริ่มต้นที่การ “สั่งเลิก” พิธีกรรมจับจีบ จัดผ้า ต้อนรับกรรมการประเมินโรงเรียน: “คืนครูสู่ห้องเรียน” อะไรทำได้ทันที?

นพณัฐ แก้วเกตุ


“คืนครูสู่ห้องเรียน” คือหนึ่งในโจทย์นโยบาย ที่ถูกพูดถึงมานานในแวดวงการปฏิรูปการศึกษาไทย แต่ดูเหมือนจะยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ 

งานสำรวจที่เขียนถึงเรื่องนี้ชัดเจนที่สุดงานหนึ่งคือ “คลี่ตารางชีวิตครูไทยใน 1 ปี เสียงสะท้อนจากครูที่นักปฏิรูปต้องฟัง” ของ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้อำนวยการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) คนปัจจุบัน ที่ทำการสำรวจนี้ ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายเศรษฐศาสตร์การศึกษา สสค. ใช้วิธีการ สุ่มตัวอย่างครูสอนดีที่ได้รับรางวัลจาก กสศ. จำนวน 427 คน จาก 18,000 คน ทั่วประเทศ ครอบคลุมโรงเรียนทุกสังกัด 

“ข้อเสนอของผลการสำรวจนี้บอกว่า ใน 1 ปี มีวันเปิดเรียน 200 วัน ครูใช้เวลา 84 วัน หรือ 42% ถูกใช้ไปกับงานนอกห้องเรียน”


 


ผลการสำรวจชิ้นนี้ยังอธิบายลงรายละเอียดไปอีกว่างานที่ดึงเวลาครูออกจากห้องเรียนมากที่สุด ได้แก่

อันดับ 1 การประเมินของหน่วยงานภายนอก
ใช้เวลาเฉลี่ย 43 วัน

  • การประเมินของหน่วยงานต้นสังกัดในโครงการต่าง ๆ 18 วัน 
  • การประเมินของสถาบันทดสอบ 16 วัน 
  • การประเมินของ สมศ. 9 วัน 

อันดับ 2 การแข่งขันทางวิชาการ 29 วัน 

อันดับ 3 การอบรมจากหน่วยงานภายนอก 10 วัน 

ที่มา https://www.tcijthai.com/news/2014/18/scoop/5206


จากผลสำรวจกิจกรรมนอกเหนือการสอนที่ครูส่วนใหญ่เห็นว่าส่งผลดีต่อการเรียนการสอน ได้แก่ 

  • การแข่งขันทางวิชาการ 
  • การประเมิน O-NET 
  • การอบรมการประเมินการอ่าน

กิจกรรมที่ครูส่วนใหญ่เห็นว่าส่งผลเสียต่อการเรียนการสอน ได้แก่ การประเมินโรงเรียนโดย สมศ. การอบรมและการประเมินอื่นๆ หน่วยงานประเมินที่ครูส่วนใหญ่อยากให้มีการปรับปรุงมากที่สุด คือ สมศ. 98% รองลงมาคือเขตพื้นที่การศึกษา และ สพฐ. 1.7% ข้อเสนอแนะที่เขียนในงานวิจัยครั้งนี้คือให้เสนอให้ปรับปรุงวิธีการประเมินที่เน้นผลลัพธ์ของเด็กมากกว่าเอกสารและลดภาระการประเมินลง

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในงานเสวนาเปิดผลวิจัยครั้งนี้ หนึ่งในวิทยากรคือ คือ ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขนะนั้น (ปี 57) กล่าวว่า 

“ปัญหาการศึกษาไทยในยุค คสช. จะสำเร็จได้ต้องมุ่งแก้ไขใน 3 ประเด็น คือ**

1. ปรับกฎหมายคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เพื่อไม่ให้ครูยึดติดกับการทำผลงานเพิ่มวิทยฐานะ 

2. ปรับการประเมินผลของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) โดยต้องปรับบทบาทและทบทวนตัวเองใน 3 ประเด็นหลัก คือ 

2.1 มาตรฐานตัวชี้วัดที่ไม่สะท้อนคุณภาพจริง 

2.2 มาตรฐานผู้ประเมินที่ยังลักลั่น 

2.3 ภาระงานเอกสาร ก่อนมีการประเมินรอบ 4

3. ปรับวิธีการสอบของสำนักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ให้เน้นที่กระตุ้นพัฒนาการของเด็ก มิใช่การสอบระดับชาติที่ใช้ข้อสอบเพียงชุดเดียววัดผลเด็ก”

ที่มา: https://www.kroobannok.com/73394?fbclid=IwAR0IC6PhYKEkPpdxx80ghaaDpyfpIX-EQHRwbc0fYa06Il1XH33NMGbY-i4 



เราคงไม่ได้ต้องการเถียงกับสิ่งที่ ดร.อมรวิชช์พูด เพราะผู้เขียนก็เชื่อว่าถ้าเราต้องการลดชั่วโมงการทำงานนอกห้องเรียนของครู การแก้ปัญหาเรื่องเหล่านี้มีความจำเป็น  แต่ความสำคัญอยู่ที่นี่เป็นเรื่องที่ ดร.อมรวิชช์พูดไว้ตั้งแต่ปี 2557 ปัจจุบันปี 2566 ปัญหาเหล่านี้ก็ยังวนลูปซ้ำรอยเดิม 

ทำไมปัญหานี้ที่เกิดขึ้นผู้มีอำนาจก็รู้ คนที่เป็นถึงผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาก็รู้ สิ่งที่เราต้องตั้งคำถามคือ เมื่อผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีอำนาจก็รู้ ทำไมปัญหานี้ถึงยังแก้ไม่ได้ ? 

ตัวอย่างการไม่นำพานโยบายไปปฏิบัติที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือในปีงบประมาณ 2566 กระทรวงศึกษาธิการยังมีการตั้งงบโครงการไม่จำเป็น ที่ในแวดวงนโยบายการศึกษาพูดถึงกันมากว่าเป็นโครงการที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ สร้างภาระครูและเด็กในการทำเอกสาร รูปธรรมปลอมๆ ที่ไม่มีอยู่จริงให้เกิดขึ้นจริงเพื่อให้โรงเรียนได้รับการประเมินสอดคล้องกับตัวชี้วัด อยู่อย่างน้อย 16 โครงการ รายละเอียดดังรูป 

ผู้เขียนใช้วิธีตรวจสอบจากเอกสารงบประมาณ ดังนั้นอาจไม่ครอบคลุมโครงการย่อยที่อยู่ในนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 


การที่มีโครงการเหล่านี้ตั้งงบประมาณอยู่ แสดงให้เห็นว่าผู้มีอำนาจและผู้กำหนดนโยบายการศึกษาที่รู้ปัญหาเหล่านี้เป็นอย่างดีและท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทองตามงานเสวนาต่างๆ ว่าจะต้องคืนครูสู่ห้องเรียน คืนครูให้นักเรียน ลดภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน แต่ในการปฏิบัติกลับไม่ทำตามที่ตัวเองพูดเลย สนใจเฉพาะการสร้างผลงานที่สามารถตั้งโชว์จัดแสดงได้ให้ตนเองได้หน้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย 



เมื่อเราพูดถึงการคืนครูสู่ห้องเรียน เรากำลังพูดถึงชั่วโมงการทำงาน (working hour) ของครู ว่าครูกำลังใช้เวลาและแรงงานไปกับการทำงานอะไร งานอะไรที่ไม่มีประโยชน์กับการศึกษา นักเรียน และทำให้ครูเกิดสภาพแวดล้อมที่รู้สึกเป็นทุกข์มากที่สุด

เราจึงตั้งโจทย์การทำนโยบายใหม่ โดยเริ่มต้นจากการคุยกับครูระดับล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร (ครูผู้ช่วย บรรจุใหม่ ไม่เกิน 2 ปี; ยังไม่เคยชินกับความไม่มีเหตุผลของระบบราชการ ภายใต้วัฒนธรรมอาวุโสแบบไทยๆ ต้องเป็นกลุ่มที่ทำงานหนักที่สุด แต่ได้ค่าตอบแทนน้อยที่สุดเพียงหมายถึง 20,000 บาท/เดือน ในขณะที่ครูอาวุโสที่ใกล้เกษียณบางท่านเงินเดือนมากกว่า 70,000 บาท) ด้วยคำถาม 4 ข้อ  คือ

  • งานอะไรที่ไม่จำเป็นต้องทำ แต่ยังต้องทำต้องทำ
  • งานอะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ แต่โดนสั่งให้ทำ
  • งานอะไรที่หลักการดี แต่พอแปลงมาเป็นการปฏิบัติแล้วเป็นคนละเรื่อง
  • งานอะไรที่จำเป็นต้องทำ แต่ทำให้ง่ายขึ้นได้

จากนั้นเราจึงนำปัญหาที่ครูเหล่านั้นต้องเผชิญมาคิดว่าถ้าเราได้เข้าไปบริหารกระทรวงศึกษาฯ เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อทำให้สภาพการทำงานของครูเหล่านี้ดีขึ้นได้บ้าง


ภาพสรุป ภาระงานที่ครูบอกกับเราว่าทำให้เกิดความทุกข์ยากในการทำงานที่สุด 




ข้อเสนอนโยบาย: คืนครูสู่ห้องเรียน อะไรทำได้ทันที?

จากที่ผู้เขียนได้พูดคุยกับครูที่อยู่ระดับล่างสุดของห่วงโซ่การศึกษา ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ดึงเวลางานของครูให้ออกจากนักเรียนสร้างความยากลำบากของชีวิตครู ส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน หรือต้องแก้ระดับโครงสร้างพระราชบัญญัติ รัฐธรรมนูญ หรือแผนอะไรต่างๆ แต่คือเรื่องไม่มีเหตุผลพื้นๆ ที่เจออยู่ทุกวันในระบบราชการไทย 

การแก้ไขไม่ต้องเขียนแผนหรือปฏิรูปให้ยุ่งยาก สามารถทำได้ทันที ถ้าพรรคก้าวไกลได้ทำหน้าที่ด้านการบริหารการศึกษา ดังต่อไปนี้คือ 


1) ยกเลิกให้ครูเข้าเวร ทันที!

ครูทุกคนที่ผู้เขียนได้คุยด้วย บอกตรงกันว่าการเข้าเวรคืองานที่กินเวลาชีวิตอย่างใหญ่หลวงโดยไม่จำเป็น ทุกโรงเรียนต้องจัดให้มีครูอยู่ประจำเวรโรงเรียนทั้งกลางวัน-กลางคืน ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ 

ในโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีครูจำนวนมากครูอาจกระทบไม่มากนัก เพราะมีครูที่พร้อมหมุนเวียนในการเข้าเวร 1 เทอม ครู 1 คนอาจได้เข้าเวรเพียงแค่หนึ่งครั้ง แต่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก การที่ต้องมีครูประจำอยู่ 1 คนทั้งกลางวันกลางคืนทำให้เกิดภาระงานกับครูเป็นอย่างมาก เพราะต้องเข้าเวรอยู่คนเดียวในเวลากลางคืนบ่อยกว่า เนื่องจากมีคู่หมุนเวียนเข้าเวร รวมทั้ง ไม่มี รปภ. และอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยอย่างเช่นกล้องวงจรปิดที่ครบครันอย่างที่โรงเรียนขนาดใหญ่มี และอย่าลืมว่าการเข้าเวรของครูถือเป็นหน้าที่ หลายโรงเรียนไม่มีเงินค่าทำงานล่วงเวลาให้ นี่จึงเป็นงานที่กินเวลาชีวิตและสร้างความเสี่ยงต่อความปลอดภัยให้กับครูเป็นอย่างมาก 

ครูผู้หญิงท่านหนึ่งบอกให้ผู้เขียนฟังว่า ให้ลองนึกถึงความน่ากลัวที่ครูผู้หญิงจบใหม่อายุ 20 กลางๆ ต้อง อยู่ในโรงเรียนขนาดเล็กที่เปลี่ยวและห่างไกลคนเดียวกลางดึก ถ้ามีโจรเข้ามาจริงผู้หญิงเพียงหนึ่งคนก็คงไม่สามารถป้องกันเหตุอะไรได้ 

ในโรงเรียนขนาดเล็กโดยเฉพาะโรงเรียนประถม มักมีครูผู้ชายน้อยกว่าครูผู้หญิง การเข้าเวรมักจัดให้ครูผู้หญิงเข้าเวรตอนกลางวันและครูผู้ชายเข้าเวรกลางคืน แต่เนื่องจากผู้ชายมีจำนวนน้อยกว่า จึงทำให้กลุ่มผู้ชายต้องอยู่เวรของโรงเรียนแทบจะทุกวัน จนครูไม่มีเวลาชีวิตไปทำอย่างอื่น ทำให้ครูผู้ชายเลือกที่จะทำงานเป็นครูในโรงเรียนเอกชนที่ไม่ต้องเข้าเวรมากกว่าเป็นครูในโรงเรียนรัฐบาล 

การที่ครู ความจริงไม่ใช่เฉพาะครูแต่รวมถึงข้าราชการทุกหน่วยงาน ต้องเข้าเวร เกิดจากนโยบายของรัฐบาล ตาม “หนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0206/ว 107 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2542 เรื่อง การปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดเวรรักษาการณ์ประจำสถานที่ราชการ” ที่กำหนดให้ ทุกหน่วยงานของรัฐต้องมีเวรยามรักษาการณ์ ประจำสถานที่ราชการ นอกเวลาราชการและในวันหยุดราชการ ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่สถานที่ราชการ 

กฎแก้ไขเพิ่มเติมนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2542 และการเข้าเวรอาจเกิดขึ้นนานกว่านั้น แต่ในสภาพสังคมเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของปี 2565 เรายังมีความจำเป็นต้องให้ข้าราชการอยู่เวรอีกหรือไม่ ในเมื่อหลายส่วนราชการ มีเงินจ้าง รปภ. ปัจจุบันเรามีกล้องวงจรปิดที่สามารถเชื่อมข้อมูลเข้าไปได้ที่สถานีตำรวจ หรือหามาตรการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดูแลรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนได้ 

และหากอ่านรายละเอียดตามหนังสือสั่งการของสำนักเลขาเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก็มีหลักเกณฑ์ที่ค่อนข้างยืดหยุ่นในการผ่อนปรนภาระงานส่วนนี้อยู่แล้ว เช่น ถ้ามีการจ้างเอกชนทำหน้าที่อยู่เวรรักษาการณ์ หรือ มีความจำเป็นไม่อาจปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ข้างต้นได้ ให้ผู้บังคับบัญชามีดุลพินิจที่จะสั่งการอยู่เวรรักษาการณ์ตามความเหมาะสม 

ภาพเนื้อหาบางข้อจากหนังสือสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0206/ว 107 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2542
เรื่อง การปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดเวรรักษาการณ์ประจำสถานที่ราชการ


สิ่งที่ทำได้ทันทีถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล คือ การออกคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ยกเลิกการบังคับให้ครูต้องอยู่เวร 

อาจให้ใช้วิธีอื่นในการรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนตามความเหมาะสม เช่น ร่วมมือกับชุมชนและสถานีตำรวจ หรือสำหรับโรงเรียนขนาดใหญ่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่แล้วก็ไม่ต้องให้เป็นภาระครูในการอยู่เวรซ้ำซ้อน  

ส่วนในระยะยาว สิ่งที่ต้องพิจารณา คือการปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดให้ข้าราชการต้องอยู่เวร เพราะเวลาผ่านไปกว่า 20 ปี สภาพสังคมและเทคโนโลยีเปลี่ยนกฎระเบียบที่ใช้อยู่เดิมล้าสมัย ซึ่งนี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาให้ครูเพียงอย่างเดียว แต่จะปลดปล่อยชีวิตข้าราชการอีกจำนวนมากให้มีสภาพชีวิตการทำงานที่ดีขึ้น 



2) ยกเลิกพิธีการ จัดจีบ จัดผ้า จัดโต๊ะ ตั้งบอร์ด ในการประเมินผล ทันที!

ทุกคนพูดตรงกันว่าการประเมินผลโรงเรียนมีปัญหา แต่คำถามคือขั้นตอนใดในการประเมินผลโรงเรียนที่สร้างภาระงานครูมากที่สุด? 

สิ่งที่สร้างภาระงานและใช้พลังงานมากที่สุดคือ การจัดอีเวนท์เพื่อต้องรับคณะกรรมการในการประเมินผล กิจกรรมอีเว้นท์ที่ครูต้องจัด มีตั้งแต่การจัดโต๊ะ จับจีบผ้า ตั้งบอร์ดและแผ่นตั้งต่างๆ รวมทั้งหลายโรงเรียนมีการจัดเด็กมาทำการแสดงต้อนรับคณะกรรมการประเมิน

ภาพ: กิจกรรมประเมินข้าราชการผู้อำนวยการโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
(สิ่งที่เห็นในภาพไม่มีการจ้าง Organizer จัดงานใดๆ ทั้งหมดล้วนมาจากแรงงานครูและนักเรียน)


การประเมินโรงเรียนเกิดขึ้นในหลายโอกาส โดยหลายหน่วยงาน ซึ่งการประเมินหลักๆ ได้แก่ 

  1. การประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายนอกเข้ามาประเมินมาตรฐานโรงเรียน 
  2. การประเมินของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพฐ.) ตามโครงการที่เป็นนโยบายของกระทรวงหรือรัฐมนตรี เช่น โรงเรียนคุณธรรม โครงการอารยะเกษตร โคก หนอง นา (ส่วนหนึ่งเป็นไปตาม List โครงการ เอกสารงบประมาณข้างต้น)
  3. การประเมินข้าราชการของผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งไม่ควรต้องเป็นภาระงานของครูและนักเรียนที่ต้องเข้ามาช่วย ผอ. ประเมินผล แต่ในทางปฏิบัติ ที่ชีวิตครูต้องพึ่งพิง ผอ. โรงเรียนมากในการเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน การประเมินผลส่วนนี้ถ้าเป็นหน้าที่ที่ครูและนักเรียนต้องลงมือทำด้วยเช่นกัน 

ไม่ว่าจะเป็นการประเมินของต้นสังกัดใด แต่วัฒนธรรมการประเมินแบบไทยๆ เช่นนี้ก็ถูกผลิตซ้ำในการประเมินของทุกหน่วยงาน 

จริงอยู่ว่าในการประเมินโดยเฉพาะโครงการต่างๆ ของ สพฐ. จะมีการเขียนเอาไว้ในเกณฑ์การประเมินว่า “ไม่จำเป็นต้องจัดทำกิจกรรมใหม่ขึ้นมาให้สอดคล้องกับโครงการ” แต่โรงเรียนที่ต้องการได้คะแนนจากการเข้าร่วมโครงการต่างๆ เหล่านี้ (ซึ่งจะเป็นแต้มต่อสำหรับผู้อำนวยการในการประเมินผลอีกที) ก็ต้องไปทำให้มีกิจกรรมหรือ “ผักชี” ให้สอดคล้องตามที่โครงการต้องการ  เช่น เมื่อต้องการประเมินผลโรงเรียนเศรษฐกิจพอเพียง การมีแปลงผักสวนครัว หรือเล้าไก่เลี้ยงสัตว์ ทำให้ได้คะแนนเพิ่มในการประเมิน 

โรงเรียนขนาดเล็ก ได้รับผลกระทบจากการประเมินมากกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่ เนื่องจากโรงเรียนขนาดใหญ่มีทรัพยากร งบประมาณ และบุคลากร ในการทำอีเวนท์ต่างๆ เหล่านี้มากกว่า 

ครูที่ให้ข้อมูลกับผู้เขียน เล่าให้ฟังว่า โดยปกติเมื่อจะมีการประเมินครูจะได้รับแจ้งล่วงหน้ากระชั้นชิดเพียงแค่ 2 สัปดาห์ ทั้งครูและนักเรียนมีหน้าที่ในการเนรมิตสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้น บางครั้งในการเตรียมงานครูครึ่งโรงเรียนและนักเรียนบางส่วนมีหน้าที่ต้องไปช่วยเตรียมงาน ก็ต้องงดการเรียนการสอนของครูและนักเรียนที่เหลือ และต้องไปพูดหน้าเสาธงหรือใต้ตึกเพื่อให้หมดเวลาที่เด็กต้องอยู่ที่โรงเรียน 

มองด้วยสติปัญญาของมนุษย์ปกติก็พิจารณาได้ว่ากิจกรรมเหล่านี้ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของนักเรียนเลย คำถามคือ ทำไมระบบการศึกษาแบบไทยๆ ยังปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น 

สิ่งที่ต้องแก้ทันที คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการต้องกล้าใช้อำนาจออกคำสั่ง ให้ยกเลิกการจัดกิจกรรมที่ใช้แรงงานครูและเด็กโดยไม่จำเป็นในการประเมินผลทุกประเภท และต้องมีการคาดโทษสำหรับผู้ประเมินและผู้ถูกประเมิน ที่อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ยังปล่อยปะละเลยให้มีการจัดกิจกรรมที่สิ้นเปลืองแรงงานโดยไม่จำเป็นเหล่านี้ 

แน่นอนว่าการแก้ปัญหาการประเมินผลที่ไร้ประสิทธิภาพของระบบการศึกษาไทย ต้องมีการปฏิรูปใหม่ทั้งระบบตามที่นักปฏิรูปทั้งหลายพูดกัน คำถามคือการประเมินผลที่มีประสิทธิภาพจะทำได้เมื่อไหร่ คำถามนี้นี้ไม่มีใครตอบได้ เพราะพูดกันมานับ 10 ปีแล้ว

แต่สิ่งที่ทำได้ทันที และเชื่อว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการหาวิธีการใหม่ ในการวัดประเมินผล คือตัดตอนกระบวนการและวัฒนธรรมแบบไทยๆ ทั้งหมดที่ไร้ประสิทธิภาพและสร้างภาระงานโดยไม่จำเป็นทิ้ง ทั้งหมด ผู้ประเมินผลก็จะประสบปัญหาไม่รู้จะประเมินจากอะไร และกลับไปทบทวนวิธีการ ประเมินผลที่ถูกต้องมีประสิทธิภาพแบบที่ควรจะเป็น



3) ห้าม! ใช้แรงงานครูช่วยงานประเมินผล ผอ.

หลักการที่ถูกต้องเมื่อประเมินผลใคร คนที่จัดเตรียมการประเมินควรเป็นบุคคลคนนั้น 

แต่ความไม่ถูกต้องที่เราเห็นได้ชัดในทุกโรงเรียนคือมีการใช้แรงงานครูและนักเรียนในการจัดกิจกรรมการประเมินผลของผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งเป็นการสร้างภาระงานโดยไม่จำเป็นและส่งเสริมวัฒนธรรมรับใช้ผู้มีอำนาจอย่างไม่ถูกต้อง

ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ต้องสั่งการเป็นนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ห้ามใช้แรงงานครูและนักเรียนในการจัดฉากสร้างกิจกรรมช่วยประเมินผล ผอ.!



4) ลดงานธุรการครู เพิ่มงานบริหารให้ผู้บริหาร

ภาระงานธุรการครูเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกพูดถึงมากในการศึกษา รูปธรรมของการแก้ไขมักเป็นความพยายามปลายเหตุที่การเพิ่มอัตราพนักงานธุรการในโรงเรียน แต่ปัญหาการดึงครูไปทำธุรการก็ไม่เคยหมดไปเพราะเราไม่เคยไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุในการกล้าเข้าไปรื้อภาระงานของครูที่ไม่เกี่ยวกับการสอนให้น้อยลง

ครูทุกคน นอกจากสอนประจำวิชาและเป็นครูประจำชั้นของนักเรียนแล้ว ยังต้องประจำแผนกงานบริหารของโรงเรียน ได้แก่ฝ่ายงบประมาณ ฝ่ายบริหารงานบุคคล ฝ่ายบริหารงานทั่วไป และฝ่ายวิชาการ งานธุรการภายในฝ่ายเหล่านี้แตกต่างกันไปตามชื่อ ซึ่งมีภาระงานไม่ว่าจะเป็นการงบประมาณและพัสดุ การจัดซื้อจัดจ้าง รับนักเรียน แจกหนังสือ ทำประกันคุณภาพการศึกษารองรับการประเมิน การกรอกข้อมูลสารสนเทศ และการปั้นเอกสาร/กิจกรรมเพื่อรองรับการประเมินโรงเรียน 

เป็นภาระงานที่เลี่ยงไม่ได้ของระบบราชการในการต้องมีงานธุรการจำนวนมากเกินความจำเป็น ภาระงานเหล่านี้หลายเรื่องพนักงานธุรการไม่สามารถแบ่งเบาได้ เพราะต้องให้คนที่เป็น “ข้าราชการ” เท่านั้นเป็นผู้เซ็น หลายเรื่องเกี่ยวข้องกับงานบริหาร เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง การพัสดุ ดังนั้น แนวทางการแก้ไขที่ตรงจุดที่สุด และตรง Job Description ที่ควรจะเป็นที่สุด ผู้ที่รับผิดชอบภาระงานบริหารเหล่านี้ต้องตกอยู่ที่ผู้บริหารโรงเรียน ไม่ใช่ครูที่มีหน้าที่สอน และเราควรประเมินผู้บริหารโรงเรียน จากผลการลดภาระงานครูและคืนครูสู่ห้องเรียน ไม่ใช่จากพิธีกรรม เอกสารการ หรือแสดงที่เลิศหรู แต่ดึงครูและเด็กออกจากห้องเรียน 

การเพิ่มงานบริหารให้ผู้บริหาร ไม่ได้หมายความว่าให้ผู้บริหารมานั่งทำงานธุรการเหล่านี้เองทั้งหมด แต่ผู้บริหารต้องมานั่งบริหารจัดการงานเหล่านี้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ธุรการว่างานใดที่สามารถลดลงได้ งานใดที่ต้องรับไว้ทำเอง และงานใดที่สามารถลดขั้นตอนการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งนี่จึงจะเป็นการทำหน้าที่ของผู้บริหารอย่างแท้จริง



5) ระบบกรอกต่างๆ ต้องไม่ล่ม จบในระบบเดียว!   

ครูที่ทำงานในฝ่ายสารสนเทศ รวมทั้งครูประจำชั้นในโรงเรียนประถมบอกกับเราถึงความทุกข์ยากในชีวิตที่เกิดจากการกรอกข้อมูล ปัญหาที่พบมีตั้งแต่

ความซ้ำซ้อนของการกรอกข้อมูล ที่มีระบบกรอกข้อมูลหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็น โปรแกรมวัดและประเมินผล SGS (Secondary Grading System) ที่ใช้เก็บคะแนนและเกรดนักเรียนของแต่ละโรงเรียน แต่ยังไม่มีการเชื่อมระบบกับส่วนกลาง, ระบบจัดเก็บข้อมูลนักเรียนรายบุคคล DMC (Data Management Center) ที่ใช้เก็บข้อมูลตัวตนของนักเรียนที่ใช้ในการจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัว ระบบปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจน CCT (Conditional Cash Transfer) สำหรับนักเรียนที่มีความยากจนพิเศษ ฯลฯ  การกรอกข้อมูลผ่านระบบเหล่านี้หลายครั้งกรอกข้อมูลซ้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลพื้นฐานเช่นชื่อ เลขบัตรประจำตัวประชาชน ที่อยู่ ทำให้เกิดภาระงานการกรอกซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น 

ความเสถียรของระบบ ในการกรอกที่ทำให้ครูต้องใช้เวลาหลังเที่ยงคืนหรือเช้ามืดเพื่อไม่ให้ระบบมี Traffic ของเว็บไซต์แน่นเกินไป เพราะระบบมีเวลาจำกัดและมักล่มในตอนกลางวันที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก 

ภาระงานกระจุกตัว เนื่องด้วยระบบอาวุโสในระบบราชการไทยทำให้งานกรอกข้อมูลนักเรียนทุกคนตกอยู่กับครูที่อยู่ฝ่ายสารสนเทศ (สังกัดฝ่ายวิชาการ) ที่ต้องทำหน้าที่กรอกข้อมูลนักเรียนทั้งโรงเรียน ครูที่คุยกับเราให้ข้อมูลว่าเฉลี่ยแล้วนักเรียน 1 คนใช้เวลากรอกข้อมูล 15 นาที ซึ่งหากภาระงานในการกรอกข้อมูลมีการแบ่งงานกระจายกันในหมู่ครูประจำชั้นโหลดงานอาจไม่หนักมาก แต่เนื่องจากงานการกรอกเอกสารลงในระบบออนไลน์กระจุกตัวอยู่ที่ครูบางคนจึงทำให้เกิดภาระงานที่ล้นเกิน 

การเก็บข้อมูลสารสนเทศเหล่านี้โดยหลักการเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะคือฐานข้อมูลขนาดใหญ่มากผู้กำหนดนโยบายสามารถใช้ในการกำหนดนโยบายการศึกษาและวัดประเมินผลการศึกษาและผู้เรียน รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรเงินรายหัวอย่างตรงเป้า แต่เนื่องจากระบบข้อมูลที่ถูกควบคุมโดยหลายหน่วยงานและไม่มีการเชื่อมโยงกันทำให้ในการปฏิบัติฐานข้อมูลเหล่านี้ทำให้เกิดภาระกับครู 

การสื่อสารข้อมูลเหล่านี้โรงเรียนขนาดใหญ่มีความพร้อมในการเก็บ แต่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดทรัพยากรซึ่งมักเป็นโรงเรียนประถมและมีการเก็บข้อมูลที่ละเอียดกว่า เพราะต้องรวมถึงข้อมูลสุขภาพของนักเรียน เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง การแปรงฟัน การดื่มนม การทานอาหารกลางวัน ระบบในการกรอกของหลายโรงเรียนยังเป็นการกรอกมือ และการรายงานผลไม่มีการเชื่อมโยงผ่านระบบสารสนเทศแต่เป็นการจัดทำรายงานเป็นเล่มให้คณะกรรมการสุ่มตรวจ ซึ่งสร้างภาระงาน และข้อมูลไม่สามารถนำไปใช้ประมวลผลได้อย่างเต็มศักยภาพ

นี่คือสิ่งที่ต้องถูกจากความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ ในการแก้ปัญหา ถ้าพรรคก้าวไกลได้มีหน้าที่บริหารกระทรวงศึกษาธิการ คือการให้ระบบฐานข้อมูลเชื่อมกันมากกว่านี้ เป็นระบบเก็บข้อมูลระบบเดียว ระบบเก็บข้อมูลเสถียรกว่านี้ ไม่ล่มบ่อยเมื่อครูต้องกรอก วางแผนการเก็บข้อมูลให้สอดคล้องกับปฏิทินการศึกษา เช่น เก็บข้อมูลในช่วงของการเยี่ยมบ้าน ไม่ใช่ช่วงเริ่มปีการศึกษา ที่ครูต้องเตรียมแผนการสอน และปลายปีการศึกษาที่ครูต้องมีภาระงานในการตรวจข้อสอบและตัดเกรดของนักเรียน

ระบบฐานข้อมูลที่ดีไม่ใช่แค่การลดภาระงานครูโดยไม่จำเป็นและทำให้ครูเห็นถึงความสำคัญของข้อมูล แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในการทิศทางการจัดสรรทรัพยากรและการกำหนดนโยบายการศึกษาในอนาคต 



6) ยกเลิกการเขียนรายงานเมื่อไปอบรมหรือปฏิบัติราชการ

อีกหนึ่งงานที่โดยหลักการแล้วอาจดี แต่สร้างภาระงานมากโดยไม่จำเป็นคือการเขียนรายงานเมื่อไปอบรมหรือปฏิบัติราชการ ซึ่งเกี่ยวพันถึงระบบการบันทึกผลงานและการวัดประเมินผลครู 

ในวัฒนธรรมการประเมินผลครูที่เน้นตรวจเอกสารมากกว่าผลสัมฤทธิ์ถือว่า “ถ้าไม่มีเอกสารยืนยันไม่ถือว่ากิจกรรมนั้นเกิดขึ้นจริง” ผลในทางปฏิบัติคือทุกกิจกรรมที่ครูเข้าอบรม สิ่งที่ครูต้องการได้จากการอบรมคือเอกสารและรูปถ่าย ไม่ใช่เนื้อหาสาระของการอบรมนั้นจริงๆ และสร้างภาระงานทำเอกสารที่ดึงครูออกจากห้องเรียนและการทำงานเพื่อเด็ก

เช่นเดียวกับการแก้ปัญหาสิ่งที่เกิดขึ้นอื่น เราสามารถลดภาระงานเอกสารของครูส่วนนี้ได้ทันทีด้วยการออกคำสั่งรัฐมนตรีและประกาศเป็นนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ให้ครูไม่จำเป็นต้องทำรายงานการปฏิบัติราชการเหล่านี้ 

ถ้าต้องการบันทึกประวัติก็สามารถทำได้ด้วยวิธีอื่น เช่นมีใบรับรองการอบรม (Certificate) แต่สิ่งที่ต้องคิดอย่างจริงจังคือ เราไม่ควรผูกการอบรมเหล่านี้เข้ากับการประเมินผลการปฏิบัติงานของครู เพราะการอบรมเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเด็กจริงๆ ปัญหาเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการประเมินผลและอบรมพัฒนาครูที่เราต้องมีการจัดการใหม่ทั้งระบบด้วยเช่นกัน



7) เลิกการส่งครูไปอบรม! เปลี่ยนเป็นให้เงินครู เพื่อเลือกออกไปเรียนรู้แทน

การถูกส่งไปอบรม คือหนึ่งในเรื่องที่ครูที่เราคุยด้วยเห็นตรงกันว่าไม่มีประโยชน์และเสียเวลาชีวิตโดยไม่จำเป็น สิ่งที่สอดคล้องกับการสำรวจของ ดร.ไกรยศ ที่บอกว่าใน 1 ปีครูต้องเสียเวลาในการถูกส่งไปอบรมภายนอก 10 วัน 

โดยหลักการแล้ว การอบรมเพื่อพัฒนาครูเป็นสิ่งที่ดี ที่ครูจำเป็นต้องเพิ่มพูนความรู้และทักษะทุกๆ ปี เพื่อให้มีความทันสมัยและทันสถานการณ์อยู่เสมอ แต่ในทางปฏิบัติ การอบรมโดยหลักสูตรพิเศษที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะสำหรับโครงการอบรมครูจำนวนมาก กลับจัดขึ้นโดยไม่มีความพร้อมเพียงพอ เช่น การอบรมเรื่อง Active Learning จัดทำโดยการให้ครูเข้าไปนั่งฟังการบรรยายตลอดทั้งวัน โดยไม่มีโอกาสให้ครูได้ทดลอง workshop จัดการเรียนการสอนจริง ครูที่เราคุยด้วยบอกว่าหลายครั้งเป็นการพูด/บรรยายไปเรื่อยๆ ของวิทยากร เพื่อให้ครบเวลาในการอบรม และจะได้ถ่ายรูปให้ครูนำไปเก็บเป็นผลงานและเบิกเงินโครงการอบรมได้ 

ดังนั้นการแก้ปัญหาเรื่องการถูกส่งไปอบรม จึงไม่ใช่การยกเลิกการอบรม แต่เป็นเปลี่ยนวิธีการในการตัดสินใจเข้ารับการรับการอบรม ให้มาอยู่ที่ฝั่งของครูแทนที่จะอยู่ที่ฝั่งของกระทรวงฯ (หรือเขตฯ หรือผู้บริหารฯ) ซึ่งจะทำให้งบประมาณโครงการฝึกอบรมครูเกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาครูจริงๆ ยิ่งในปัจจุบัน เรามีหลักสูตรอบรมพัฒนาความรู้นอกห้องเรียนเป็นจำนวนมาก ทั้งในมหาวิทยาลัย และนอกมหาวิทยาลัยอย่างเช่นแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ครูแต่ละท่านจึงสามารถเลือกประเด็นการอบรมที่เหมาะสมสำหรับตนเองได้ 

สิ่งที่รัฐบาลก้าวไกลต้องทำ คือ เปลี่ยนและเพิ่มงบประมาณในการอบรมพัฒนาครู ซึ่ง Think Forward Center  เคยคำนวณเอาไว้ว่าอยู่ที่ 3,342 บาท/คน/ปี ให้เป็นเงินอุดหนุนตรงไปที่ครูในการสมัครเรียนสิ่งที่มีประโยชน์กับการพัฒนาการเรียนการสอนและทักษะวิชาชีพ หรือแม้แต่เป็นการอุดหนุนค่าเรียนต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอกของครู

โดยรัฐบาลเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้จัดอบรมเอง หรือร่วมกับเครือข่ายกลุ่มแคบๆ ในการอบรม (หรือ Supply Side Financing) ให้เป็นคนที่ทำหน้าที่จัดสรรงบประมาณสำหรับครูแต่ละคน และทำหน้าที่รับรองและหลักสูตรที่มีคุณภาพที่มีมากมายอยู่แล้ว เพื่อให้ครูสามารถเลือกเข้าร่วมโครงการนี้ได้ด้วยตนเอง (หรือ Demand-side Financing) ซึงจะเป็นการส่งเสริมระบบนิเวศการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่มีคุณภาพในสังคมไทยอีกด้วย



8) ห้าม! สพฐ. จัดอบรมในวันที่มีการเรียนการสอน

อีกปัญหาที่พบเรื่องการอบรมของครู คือกิจกรรมอบรมพิเศษที่มาจาก สพฐ. แต่ละเขตพื้นที่การศึกษาเอง เนื้อหาการอบรมมีหลากหลาย เช่น อบรมวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ อบรมทำความเข้าใจเกณฑ์การแข่งขันงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน เป็นการอบรมกิจกรรมย่อยที่อาจไม่ใช่นโยบายของรัฐบาล ขึ้นอยู่กับเขตพื้นที่การศึกษา 

โดยเมื่อ สพฐ. เขตต่างๆ จัดกิจกรรมอบรม จะมีการแจ้งข่าวแจ้งหมายไปที่โรงเรียนต่างๆ เพื่อให้โรงเรียนส่งคนเข้าร่วมตามความสมัครใจ ฝ่ายบุคคลของโรงเรียนจะพิจารณาส่งรายชื่อครูไปร่วมอบรมตามดุลยพินิจของแต่ละสถานศึกษา ซึ่งอบรมเหล่านี้มักทำในวันเวลาราชการที่ตรงกับการเรียนการสอน และเป็นต้นเหตุของการดึงครูออกจากห้องเรียนในเวลาที่ควรทำการเรียนการสอน 

การแก้ปัญหาเรื่องนี้ทำได้ทันที ด้วยการออกคำสั่งรัฐมนตรีและประกาศเป็นนโยบายกระทรวงศึกษาธิการห้ามเขตพื้นที่การศึกษาจัดอบรมในวันที่มีการเรียนการสอน การอบรมต่างๆควรจบในช่วงปิดเทอม หรืออบรมในวันเสาร์อาทิตย์ ที่ไม่มีการเรียน หรือใช้การฝึกอบรมหรือการส่งคลิปแบบออนไลน์แทน



9) รับเรื่องร้องเรียนตรงถึงรัฐมนตรี

สุดท้ายสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นปัญหา จากการพูดคุยกับครูชั้นผู้น้อยจำนวนมาก คือความเหลื่อมล้ำอำนาจในระบบราชการ ที่เปิดให้คนที่มีอำนาจเหนือกว่าไม่ว่าจะเป็นอาวุโสหรือโดยการบังคับบัญชาใช้อำนาจในการเอาเปรียบคนที่มีอำนาจน้อยกว่า ไม่ว่าจะที่เราเห็นได้ชัดเป็นปกติอย่างการใช้แรงงานครูในการช่วยงานทำผลงานประเมินผล ผอ. โรงเรียน หรือเรื่องที่เรามองไม่เห็นอย่างเช่นการคุกคามทางเพศ ซึ่งมีอยู่แต่ครูชั้นผู้น้อยต้องปล่อยผ่านเพราะไม่เชื่อในการตั้งกรรมการสอบตามระบบราชการ ครูที่ให้ข้อมูลกับเราบอกว่า ไม่มีความเชื่อมั่นถ้ามีการร้องเรียนเพราะกรรมการที่สอบข้อเท็จจริงล้วนแต่เป็นเพื่อนของ ผอ. ทั้งนั้น 

ด้วยระบบการศึกษาระบบการบังคับบัญชาที่เปิดโอกาสให้ ผอ. โรงเรียน สามารถให้คุณให้โทษครูได้ ผ่านการระบบขอวิทยฐานะของครูที่ต้องใช้คำรับรองของ ผอ. โรงเรียน ทำให้ถูกส่วนมากเลือกที่จะโอนอ่อนยอมตามผู้มีอำนาจ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับตัวเองในอนาคต 

ไม่ว่าจะออกนโยบายหรือมีข้อสั่งการที่ดีเพียงใด แต่ถ้ายังไม่มีระบบเพิ่มอำนาจของคนที่มีอำนาจน้อย สามารถเชื่อมั่นในกระบวนการที่โปร่งใสได้จริงๆ นโยบายต่างๆ ในการแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ 

ภาพแชทที่ครูท่านหนึ่งส่งข้อความไปยัง FB วันนั้นเมื่อฉันสอน (27 ธ.ค. 65)


สิ่งที่รัฐบาลก้าวไกลต้องทำ คือ การมีกลไกให้บุคลากรทางการศึกษาทุกภาคส่วน เมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องสามารถแจ้งร้องเรียนและรวบรวมหลักฐาน ตรงถึงสำนักงานรัฐมนตรีได้ทันที โดยรัฐมนตรีต้องมีกระบวนการในการจัดการที่เชื่อถือ ได้โปร่งใส ยุติธรรม รวดเร็ว และให้ความปลอดภัยกับผู้ร้องเรียน 



สรุป: ทำไมปฏิวัติการศึกษาไทยต้องเริ่มต้นที่การ “สั่งเลิก” พิธีกรรม

จากจุดเริ่มต้นของบทความ ที่ต้องการลดภาระงานที่ไม่จำเป็นของครู เพื่อคืนครูสู่ห้องเรียนให้กับเด็กนักเรียน ซึ่งนำมาสู่นโยบาย 9 ข้อ ได้แก่

  1. ยกเลิกให้ครูเข้าเวร ทันที!
  2. ยกเลิกพิธีการ จัดจีบ จัดผ้า จัดโต๊ะ ตั้งบอร์ด ในการประเมินผล ทันที!
  3. ห้าม! ใช้แรงงานครู ช่วยงานประเมินผล ผอ.
  4. ลดงานธุรการครู เพิ่มงานบริหารให้ผู้บริหาร
  5. ระบบกรอกต่างๆ ต้องไม่ล่ม จบในระบบเดียว
  6. ยกเลิกการเขียนรายงานเมื่อไปอบรมหรือปฏิบัติราชการ
  7. เลิกการส่งครูไปอบรม! เปลี่ยนเป็นให้เงิน เพื่อให้ครูเลือกไปเรียนรู้แทน
  8. ห้าม! สพฐ. จัดอบรมในวันที่มีการเรียนการสอน
  9. รับเรื่องร้องเรียนตรงถึงรัฐมนตรี


นโยบายทั้ง 9 ข้อนี้ไม่ใช่แผนการปฏิรูปใหญ่โต แต่เป็นการเปลี่ยนสิ่งที่ทำเป็น “ความปกติ” ในชีวิตประจำวันของระบบการศึกษา

สิ่งเหล่านี้หลายเรื่องนักปฏิรูป หรือผู้บริหารจากส่วนกลาง/ส่วนภูมิภาคอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็ก อย่างการจัดผ้า จับจีบ สร้างพิธีกรรมต้อนรับผู้บริหารกระทรวง หรือการเข้าเวรอยู่โรงเรียนในยามวิกาล แต่สำหรับครูระดับล่างสุดที่เป็นผู้ปฏิบัติงานที่ต้องรับผิดชอบห้องเรียน สิ่งเหล่านี้กินพลังงานและชั่วโมงการทำงานมหาศาล จนส่งผลกระทบกับการจัดการเรียนการสอน 

ถ้ามองในภาพใหญ่ของการเปลี่ยนปฏิวัติการศึกษาไทย ผู้เขียนอยากชวนให้เราพลิกวิธีการปฏิรูปการศึกษาใหม่ จากเดิมที่เน้น การบอกว่าเราอยากทำอะไร ซึ่งนำไปสู่การเขียนแผน เขียนหลักสูตร เขียนกฎหมาย ออก พ.ร.บ. หรือตั้งหน่วยงานใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการอันฝันฟุ้งไม่รู้จบของบรรดานักปฏิรูป เปลี่ยนเป็นช่วยกันหาปิศาจในระบบการศึกษาที่อยู่ในชีวิตประจำวัน และจัดการกับปิศาจเหล่านั้นทันที ปีศาจคือปัญหาที่ครูระดับล่างสุดต้องเผชิญ ที่เด็กนักเรียนในห้องเรียนของโรงเรียนที่ขาดแคลนที่สุดต้องเจอทุกวัน 

การแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้เป็นสิ่งที่ควรจะเป็น ทำได้ ทันทีโดยไม่ต้องรอเขียนแผนใดๆ ถ้าผู้บริหาร กระทรวง มองเห็นปัญหาและแก้ปัญหาเหล่านี้ไปเรื่อยทุกวัน ผู้เขียนเชื่อว่านี่ต่างหากที่จะเป็นการทำให้เกิดการปฏิวัติการศึกษาอย่างแท้จริง 

แต่การปฏิวัติจะเกิดขึ้นได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีนักการเมืองที่กล้าหาญในการตัดสินใจ มีความเข้าใจในระบบ วิธีการทางเทคนิค และมีความเจ็บแค้นแทนประชาชนมากพอที่จะเห็นถึงความไม่สมเหตุสมผลที่เป็นความปกติในระบบการศึกษา และกล้าที่จะใช้อำนาจตัวเองอันมาจากอาณัติของประชาชน เข้าไปรื้อระบบ เปลี่ยนโรงเรียนให้เป็นในสิ่งที่ควรจะเป็น ทำให้ครูมีหน้าที่สอนและอบรมสั่งสอนเด็กอย่างเต็มที่ และสร้างโรงเรียนที่เป็นสถานที่ในการอบอุ่นดูแลอนาคตของชาติอย่างดีที่สุด 



พูดคุยทิ้งท้าย ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาบทความหลัก

บทความนี้มุ่งตอบปัญหาทางนโยบายเรื่อง “คืนครูสู่ห้องเรียน” เป็นหลัก หากดำเนินการได้ตามนี้ สภาพแวดล้อมการทำงานของครูจะดีขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา หรือความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาดีขึ้นตาม 

การศึกษาไทย ในระบบโรงเรียนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ยังมีเรื่องใหญ่ที่ต้องเปลี่ยนแปลงกันอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น หลักสูตร การเรียนการสอน การอบรมพัฒนาและประเมินผลครู การทดสอบ คุณภาพสถานศึกษา โครงสร้างบริหารโรงเรียน และที่สำคัญที่สุดคือความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เปลี่ยนการศึกษาไทยได้ หัวใจ ความเปลี่ยนแปลงต้องอยู่ที่โรงเรียนประถม 

โรงเรียนประถมศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ดูแลเด็กส่วนใหญ่ของประเทศนี้ กำลังอยู่ในภาวะเดียวกันคือเล็ก และขาดแคลน เพียงแค่ให้คงสภาพความเป็นโรงเรียนแบบปกติตามแบบฉบับให้ได้ก็ยากเกินทน ไม่ต้องไปคิดถึงการพัฒนาหลักสูตรใหญ่โตพิสดาร 

โรงเรียนประถมที่ขาดแคลน ไม่ใช่เรื่องยกเว้น ผิดแปลกเฉพาะที่แต่คือสิ่งที่เป็นปกติสำหรับประเทศไทย เด็กที่เรียนในโรงเรียนประถมเหล่านี้แทบจะทั้งหมด เติบโตมาในสังคมที่เปราะบาง ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ทำให้เติบโตได้อย่างมีคุณภาพ 

ครูที่ผู้เขียนพูดคุยด้วยเล่าให้ฟังว่าในวันที่เกิดโควิดและต้องประกาศใน Online เด็กทุกคนพร้อมใจกันหายไปจากการติดต่อของครู แต่เมื่อมีการประกาศให้เงินค่าอาหารกลางวันที่ไม่สามารถทำอาหารในโรงเรียนได้จึงต้องจ่ายเป็นเงินสดให้กับเด็กเพียงแค่ 20 บาทต่อคนต่อวัน เกิดปรากฏการณ์ที่เด็กทุกคนที่หายไปพร้อมใจกันกลับมาเรียนได้อย่างไม่น่าเชื่อ 

การศึกษาไทยในอนาคตถ้าเราไม่สามารถเปลี่ยนโรงเรียนประถมให้ไม่ใช่แค่โรงเรียน แต่ต้องเป็นพื้นที่พักพิงอบอุ่น (Shelter) จากครอบครัวและสังคมอันโหดร้ายได้ ประเทศนี้ก็จะไม่สามารถเพาะเมล็ดพันธุ์ต้นกล้าที่มีคุณภาพไปสู่การเรียนรู้ในระดับมัธยม อาชีวศึกษา อุดมศึกษา ในสังคมต่อไป 

ถ้ามีโอกาสหวังว่าจะได้ทำการศึกษาและเสนอนโยบายนี้แบบลงลึกเพิ่มเติม


ขอบพระคุณทุกท่านที่อ่านและสวัสดี 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า