เดชรัต สุขกำเนิด
แม้ว่าจะไม่มีใครเถียงว่า วิทยาศาสตร์มีความสำคัญสำหรับอารยธรรมและพัฒนาการของสังคมมนุษย์มากเพียงใด แต่เมื่อต้องตัดสินใจในการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ วงการวิทยาศาสตร์กลับได้รับคำถามกลับมาว่า “การลงทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์คุ้มค่าเพียงใด?” จนทำให้หลายๆครั้ง ในหลายๆ ประเทศการลงทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์อยู่ในภาวะหยุดชะงัก หรือไม่ต่อเนื่อง จนนำไปสู่ข้อจำกัดในการยกระดับขีดความสามารถของสังคมและระบบเศรษฐกิจนั้นๆ ในระยะยาว
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการตัดสินใจลงทุนทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นเนื่องจาก (ก) การลงทุนทางวิทยาศาสตร์ที่สำเร็จมักต้องเริ่มต้นจากพื้นฐานที่ดี (ซึ่งจะต้องลงทุนก่อน) และการลงทุนที่ต่อเนื่อง (ข) แต่ผลลัพธ์ของการตัดสินใจลงทุนจะเกิดขึ้นในระยะยาว เพราะฉะนั้น (ค) การลงทุนทางวิทยาศาสตร์จึงไม่ได้ตอบโจทย์เฉพาะหน้าทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง (ง) นอกจากนั้น การลงทุนทางวิทยาศาสตร์ยังมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูง และ แม้กระทั่ง การลงทุนนั้นจะประสบความสำเร็จ (จ) แต่ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นอาจมิได้เกิดขึ้นหรือมิได้จำกัดอยู่เฉพาะกับบุคคล/สถาบัน/ประเทศที่ลงทุนในการพัฒนาวิทยาศาสตร์นั้นตั้งแต่แรก ทำให้เมื่อพิจารณาในมุมมองระยะสั้น การลงทุนทางวิทยาศาสตร์ดูจะเป็นการลงทุนที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก
แต่ในทางกลับกัน การลงทุนทางวิทยาศาสตร์ก็มีคุณสมบัติพิเศษสุดหลายประการเช่นกัน เพราะ (ก) ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการลงทุนทางวิทยาศาสตร์หลายครั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถการผลิตของมนุษย์แบบก้าวกระโดด และ (ข) ความรู้/ความเข้าใจ/ความสามารถของมนุษย์ที่เพิ่มพูนขึ้นนั้นจะเป็นทุนที่เพิ่มพูนขึ้น โดยไม่มีการเสื่อมถอยลง (หรือไม่มีค่าเสื่อมราคานั่นเอง) แถมยัง (ค) ถ่ายทอดและกระจายให้กับผู้คนอื่นๆ ตามกระบวนการทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยที่ผลผลิต/ผลประโยชน์ของผู้ถ่ายทอด/กระจายความรู้ไม่ได้ลดลง และเมื่อถึงจุดนั้น (จ) ความรู้/ความสามารถทางวิทยาศาสตร์จะถูกนำมาใช้ในการตอบโจทย์เฉพาะหน้าของสังคมนั้น ในรูปแบบที่หลากหลายและอาจจะมากกว่าโจทย์เริ่มต้นที่ตั้งใจไว้แต่แรก เพราะฉะนั้น ในท้ายที่สุดผลสำเร็จของการลงทุนทางวิทยาศาสตร์คือ การยกระดับพลังการผลิตและคุณภาพชีวิตของผู้คนทั้งสังคมในระยะยาว
ในกรณีของประเทศไทย แม้ว่าในช่วงหลังสัดส่วนการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาจะมีมากมากขึ้น (จาก 0.44% ของGDP ในปี 2556 มาเป็น 1.14% ของGDP ในปี 2562) และเอกชนเริ่มมีบทบาทสำคัญในการวิจัยและพัฒนามากขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังห่างจากเป้าหมาย 2% ของ GDP ในปี 2570 และเมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 ระดับการลงทุนดังกล่าวก็ลดลง และเริ่มเพิ่มขึ้นช้าๆ เพราะฉะนั้น หลังจากสถานการณ์โควิด-19 การเร่งระดับการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก
นอกจากนั้น ตัวเลขการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาของไทยดังกล่าว ยังไม่แยกการลงทุนทางด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐานออกจากการวิจัยและพัฒนาทางธุรกิจ ดังนั้น จึงไม่อาจทราบแน่ชัดว่า การลงทุนทางวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยมีความก้าวหน้ามากน้อยเพียงใด แต่อย่างน้อยที่สุด ในปัจจุบัน การลงทุนทางวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยก็ยังต้องใช้เผชิญคำถาม/ความท้าทายสำคัญ 3 ประการก็คือ (ก) คำถามเรื่องผลประโยชน์ที่จะได้จากการลงทุน (หรือ ที่ได้ยินในรูปของคำปรารภว่า “งานวิจัยขึ้นหิ้ง”) (ข) ความสนใจในการศึกษา/ศึกษาต่อในวิทยาศาสตร์บางสาขา/บางสถาบันลดลงมาก และ (ค) เส้นทางอาชีพ/เส้นทางวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ในแต่ละศาสตร์/แต่ละสาขายังไม่ชัดเจนหรือยังไม่ดีนัก (เมื่อเปรียบเทียบกับงานอาชีพที่ใช้คุณวุฒิใกล้เคียงกัน) และส่งผลให้นักวิทยาศาสตร์บางส่วน หยุดชะงัก/ออกจากเส้นทางการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไป
เพราะฉะนั้น เพื่อให้การพัฒนาวิทยาศาสตร์ของไทยได้รับการสนับสนุนจากผู้คน สังคม และรัฐบาล อย่างจริงจังทั้งในระยะสั้น (หมายถึง การดำเนินการทันทีโดยไม่รอช้า) และในระยะยาว (หมายถึงการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จนประสบความสำเร็จ) Think Forward Center จึงเสนอแนวทาง 4 ด้านเพื่อการสนับสนุนการลงทุนทางวิทยาศาสตร์ของไทย ดังนี้
- Inspiration การสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ และผู้คนในประเทศ เพื่อให้เห็นถึงคุณค่าความสำคัญของการพัฒนาวิทยาศาสตร์ และพร้อมเผชิญความท้าทายในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ใหม่ในอนาคต โดยการลงทุนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจควรมีพื้นที่/ช่องทางสำคัญอย่างน้อย 4 ช่องทาง ได้แก่
- พื้นที่การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ สำหรับเด็ก เยาวชน ครอบครัว และชุมชน โดยควรกระจายตัวอยู่ในทุกพื้นที่ๆ ในเนื้อหา รูปแบบ และวิธีการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน โดยในแต่ละอำเภอควรมีพื้นที่การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ดีอย่างน้อยหนึ่งแห่ง และในรัศมีการเดินทาง 150 กิโลเมตร เดินทางไปกลับได้ใน 1-2 วัน ควรมีพื้นที่การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ดีอย่างน้อย 5 แห่ง
- สื่อหรือช่องทางการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ในรูปแบบต่างที่หลากหลาย ทั้งหนังสือ นิตยสาร คลิปวิดีโอ พอสคาสต์ แอนนิเมชั่น เกม และอื่นๆ ที่เด็ก เยาวชน และผู้คนในสังคมสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก และสามารถเข้าถึงได้ต่อเนื่อง ซึ่งนั่นแปลว่า จำเป็นต้องมี (ก) การพัฒนาวงการสื่อสารวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง และ (ข) จำเป็นต้องมีระบบสวัสดิการ/บริการที่สนับสนุนให้เด็ก เยาวชน ทุกคนที่สนใจสามารถเข้าถึงช่องทางเหล่านั้นได้
- กิจกรรมการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่หลากหลายในท้องถิ่นและเมืองต่างๆ โดยมีเนื้อหาและเป้าหมายเฉพาะสำหรับแต่ละกิจกรรมที่แตกต่างหลากหลายกันไป แต่สามารถกระจายและครอบคลุมการเข้าถึงได้ในทุกพื้นที่ของประเทศไทย โดยอย่างน้อยในแต่ละปี เด็กและเยาวชนไทยควรมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ (นอกเหนือจากห้องเรียน) อย่างน้อย 5 ครั้งต่อปี
- การปรับรูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในการศึกษาขั้นพื้นฐานให้สอดคล้องกับความถนัดหรือสไตล์การเรียนรู้ และเส้นทางอนาคตของผู้เรียนที่แตกต่างกัน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจและประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ได้ในรูปแบบที่เหมาะสมกับความสนใจและเส้นทางชีวิตของตนเอง เพราะฉะนั้น ในวิชาหรือเนื้อหาเดียวกัน (เช่น ฟิสิกส์) อาจมีหลักสูตรและรูปแบบการเรียนรู้ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์สำหรับผู้เรียนที่ความถนัด/สไตล์/เป้าหมายการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
- Integration การเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์เข้ากับบริบทต่างๆ ในสังคมไทย เพื่อให้ผู้คนได้สามารถนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาที่ตนเองเผชิญอยู่ หรือเพิ่มศักยภาพการผลิตหรือคุณภาพชีวิตของตน พร้อมกับการนำปัญหาใหม่ๆ ที่ผู้คนและสังคมประสบ มาเป็นโจทย์สำหรับการต่อยอดและการพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์ต่อไป โดยตัวอย่างของความเชื่อมโยงเร่งด่วนที่ควรดำเนินการ อาทิ
- วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น วิทยาศาสตร์การหมักและวิทยาศาสตร์ทางอาหารพื้นฐาน วิทยาศาสตร์การย้อมและสิ่งทอ การท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์ การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่เชื่อมโยงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
- ความหลากหลายทางชีวภาพและเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การอนุรักษ์พันธุ์พืชท้องถิ่น การสร้างความหลากหลายของพืชพันธุ์ การฟื้นฟูระบบนิเวศ การดูแลและอยู่ร่วมกับธรรมชาติและสัตว์ป่า การลดและการใช้ประโยชน์จากอาหารเหลือและของเสีย การออกแบบแนวทางแก้ปัญหาจากวิถีธรรมชาติ (Nature-based Solutions)
- สุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การดูแล สร้างเสริม และฟื้นฟูสุขภาพ การป้องกัน การดูแลรักษา และการฟื้นฟูจากโรค การดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง
- การสื่อสารและการตัดสินใจของสาธารณะบนฐานข้อมูล เช่น การนำความรู้ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มาใช้ในกระบวนการถกเถียงและแสวงหาคำตอบของสาธารณะ ทั้งคำตอบเฉพาะหน้า เช่น มาตรการในการรับมือกับโรคระบาด หรือภัยพิบัติ เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็ก น้ำท่วม และคำตอบระยะยาว เช่น มาตรการความปลอดภัยทางอาหาร การจัดการน้ำ
- Investment in Basic Science การเพิ่มการลงทุนที่ต่อเนื่องในการพัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ที่อาจจะยังไม่ได้เชื่อมโยงสู่การผลิต/สังคมในระยะสั้น แต่การเพิ่มการลงทุนในความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะเป็นฐานที่สำคัญมากสำหรับการต่อยอดไปสู่นวัตกรรมในหัวข้อถัดไป ทั้งนี้ การออกแบบการลงทุนในการพัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะต้องมีความต่อเนื่อง ทั้งในแง่ (ก) กรอบงบประมาณในการพัฒนาในแต่ละศาสตร์ที่ชัดเจน (ข) การต่อยอดองค์ความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ตามทิศทางที่ชัดเจน และ (ค) การดำรงอยู่และความก้าวหน้าในเส้นทางอาชีพ/การทำงานของนักวิทยาศาสตร์ในศาสตร์นั้นๆ ขณะเดียวกัน ก็ต้องออกแบบให้สามารถยืดหยุ่นและปรับตัวได้ไวในแง่ของ (ง) การรวมทีม การทำงานร่วมกันของบุคลากรที่อยู่ต่างองค์กร/ต่างภาคส่วน/ต่างประเทศกัน และ (จ) การเชื่อมโยงเครือข่ายการวิจัยทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่เข้มแข็ง ทั้งในและต่างประเทศ
- Innovation Entrepreneurs การเชื่อมโยงและสนับสนุนผู้ประกอบการด้านนวัตกรรม ที่พร้อมจะนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปสู่การเพิ่มศักยภาพ/ขีดความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการใหม่ๆ โดยผู้ประกอบการเหล่านี้ จะเป็นผู้เล่นที่สำคัญ ซึ่งเข้ามาแบกรับความเสี่ยง (และผลตอบแทน) ของตนเองในระยะสั้น เพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว กล่าวง่ายๆ ก็คือผู้ประกอบการเหล่านี้คือ ผู้ที่เข้าทำให้การลงทุนทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมา เริ่มปรากฏผลตอบแทนต่อสังคมส่วนรวม เพราะฉะนั้น การที่สังคมไทยมีผู้ประกอบการด้านวัตกรรมมากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้ความตระหนักในคุณค่าและผลประโยชน์ของการลงทุนทางวิทยาศาสตร์มีมากขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ นอกจากโปรแกรมการบ่มเพาะผู้ประกอบการที่มีการดำเนินการกันอยู่แล้ว การสนับสนุนผู้ประกอบการด้านวัตกรรมเหล่านี้ควรเพิ่มแนวทางพื้นฐานอย่างน้อย ดังนี้
- การสนับสนุนการลงทุนต้นแบบหรือ Prototype ให้มีขนาดการลงทุน/ต้นทุนต่ำลง โดยอาจมีลักษณะของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โรงงานและเครื่องมืออุปกรณ์พื้นฐานในแต่ละด้าน ที่สามารถเช่า/ใช้/พัฒนาทดลองดำเนินการได้ในระยะต้น เพื่อการทดสอบตลาด ก่อนที่จะลงทุนทางธุรกิจจริงจังต่อไป
- รูปแบบการลงทุนที่หลากหลาย และสามารถแบ่งปันภาระความเสี่ยงและผลประโยชน์กับผู้ลงทุนได้หลายรูปแบบ เพราะการลงทุนในนวัตกรรมแต่ละเรื่องย่อมมีรูปแบบทางธุรกิจที่แตกต่างกัน มีความเสี่ยงมาก/น้อยในรูปแบบที่แตกต่างกัน และมีระยะเวลาการคืนทุน/ผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้น การมีรูปแบบการร่วมลงทุน/สนับสนุนทุนที่หลากหลายจึงมีความสำคัญมาก เพราะหากมีรูปแบบการสนับสนุนทุน/ร่วมทุนที่จำกัด บางครั้งอาจทำให้เกิดการออกแบบธุรกิจให้ตรงตามเงื่อนไขการสนับสนุนทุน แต่ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขการดำเนินธุรกิจจริงได้
- การดูแลปกป้องและแบ่งปันผลประโยชน์ของสาธารณะ นอกเหนือจากสนับสนุนทุนแล้ว รัฐบาล/หน่วยงานจำเป็นต้องปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณะ เช่น มิให้นวัตกรรมดังกล่าวนำไปสู่การผูกขาดในทางธุรกิจ รวมถึงดูแลการคุ้มครองแบ่งปันผลประโยชน์กับผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น เกษตรกรผู้ผลิตวัตถุดิบ ชุมชนที่เป็นเจ้าของ/ดูแลรักษาทรัพยากร ผู้ป่วย/ผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องเข้าถึงบริการดังกล่าว
ด้วยแนวทางเบื้องต้นที่ได้กล่าวมา Think Forward Center เชื่อว่า หากดำเนินการอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ในระยะยาว จะช่วยให้การลงทุนทางวิทยาศาสตร์ของไทยได้รับการสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นจากทุกภาคส่วน ทั้งจากสาธารณะ จากภาคเอกชน และจากรัฐบาล และเมื่อนั้น วิทยาศาสตร์จะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของไทยได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน